Friday, 29 March 2024
NEWSFEED

สายเที่ยวฮ่องกงห้ามพลาด!! รบ.ฮ่องกงไฟเขียวกรุ๊ปทัวร์ เข้าประเทศได้ภายในเดือนนี้

ใครที่เตรียมตัวช้อปปิ้งให้หายอยากฟังทางนี้ เพราะทางรัฐบาลฮ่องกงได้ออกประกาศเตรียมเปิดให้เดินทางเข้าได้สำหรับการท่องเที่ยวแบบกลุ่ม ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะอนุญาตให้คณะนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านทางบริษัทนำเที่ยวที่มีใบอนุญาตเท่านั้น

รัฐบาลฮ่องกงออกประกาศเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่าจะมีการปรับใช้ข้อกำหนดพิเศษสำหรับการท่องเที่ยวแบบกลุ่ม ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะอนุญาตให้คณะนักท่องเที่ยวแบบกลุ่ม ที่เดินทางผ่านทางบริษัทนำเที่ยวที่มีใบอนุญาตสามารถเดินทางเข้าได้ และมีการลงทะเบียนแจ้งแผนการท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้า สามารถเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับอนุญาต ได้แก่ สวนสนุก พิพิธภัณฑ์ และ วัด

     รวมไปถึงสามารถรับประทานอาหารในสถานที่จำหน่ายอาหารที่ได้รับอนุญาต เมื่ออยู่ในระยะรหัสสีเหลืองอำพัน (Amber Code)  ของวัคซีนพาส (Vaccine Pass) รัฐบาลยังจะมีการหารือเพื่อพิจารณาการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวประเภทดังกล่าวสามารถลดจำนวนครั้งของการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส (RT-PCR) ลงได้โดยที่ยังคำนึงถึงความปลอดภัยจากความเสี่ยงของการระบาด
ดร. วายเค แปง (Dr. Pang Yiu-kai) ประธานการท่องเที่ยวฮ่องกงตอบรับประกาศล่าสุดของรัฐบาลด้วยความยินดีว่า “ข้อกำหนดใหม่นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการกลับสู่ภาวะปกติของฮ่องกง และส่งสารในเชิงบวกไปยังนักท่องเที่ยว และคู่ค้าทั่วโลกของเรา มีการคาดการณ์ว่าข้อกำหนดพิเศษนี้จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนให้ทยอยกลับมาเยือนฮ่องกงอีกครั้ง โดยเฉพาะผู้บริโภคในตลาดการท่องเที่ยวระยะสั้น โดยการท่องเที่ยวฮ่องกงจะเดินหน้าทำงานร่วมกับรัฐบาล และภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อชูจุดดึงดูดอย่างการท่องเที่ยวที่หลากหลายของฮ่องกง เพิ่มความสนใจของนักท่องเที่ยวต่อการมาเยือนเมืองแห่งนี้ และเพื่อเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวของฮ่องกง”

การท่องเที่ยวฮ่องกงยังได้สร้างความสัมพันธ์กับคู่ค้าและสื่อมวลชนทั่วโลกอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด อาทิ เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา การท่องเที่ยวฮ่องกงได้มีการพบปะกับ 200 คู่ค้าในฮ่องกง ตัวแทนจากตลาดนักท่องเที่ยวหลัก รวมถึงบริษัทนำเที่ยว โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวกว่า 400 ครั้ง เพื่อหารือถึงโอกาสความร่วมมือและเพื่อเตรียมพร้อมสู่การพานักเที่ยวกลับมาฮ่องกงอีกครั้ง


ที่มา: True ID

ส่อง ‘อาหารไทย’ ในคอนเซปต์ ‘ความยั่งยืน’ Sustainable Thai Gastronomy เตรียมขึ้นโต๊ะเสิร์ฟ ในงานกาลาดินเนอร์ ‘APEC 2022’

ส่อง ‘อาหารไทย’ ในคอนเซปต์ ‘ความยั่งยืน’ Sustainable Thai Gastronomy เตรียมขึ้นโต๊ะเสิร์ฟ ในงานกาลาดินเนอร์ ‘APEC 2022’ ที่หอประชุมกองทัพเรือ ช่วงค่ำวันที่ 17 พ.ย.นี้

.

เชฟชุมพล แจ้งไพร ซึ่งรับหน้าที่เชฟดูแล อาหารไทยราว 21 รายการ ที่จะเสิร์ฟสำหรับผู้นำประเทศราว 50 ท่าน ในงานประชุม 21 เขตเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC 2022  ในคอนเซปต์ Sustainable Thai Gastronomy หรือ 'ความยั่งยืน' เพื่อแสดงถึงศักยภาพของอาหารไทย และประเทศไทยที่เป็นแหล่งผลิตวัตถุดิบอาหารสำคัญของโลก สะท้อนภาพเมืองไทยไม่เคยขาดแคลนเรื่องอาหาร

.

เชฟชุมพล  ระบุว่า เวทีระดับผู้นำประเทศครั้งนี้ เรานำเสนออาหารไทยไฟน์ไดนิ่ง 4 คอร์ส รวมไวน์แพร์ริ่งจากกรานมอนเต้ เขาใหญ่ และวิลเลจฟาร์ม วังน้ำเขียว ทุกอย่างเป็นผลผลิตในประเทศไทยทั้งหมด

.

การนำเสนอเรื่อง ความยั่งยืน ซึ่งเป็นมากกว่า soft power ด้านอาหารแล้ว เพราะหมายถึง คนปลูกยั่งยืน คนทำยั่งยืน คนกินยั่งยืน ประเทศยั่งยืน โลกยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิดหลักที่ไทยเป็นเจ้าภาพ APEC 2022

.

สำหรับเมนูอาหาร ประกอบด้วย

.

“อะมูสบุช หรือของทานเล่น 1 อย่าง และแอพเพอร์ไทเซอร์ (เรียกน้ำย่อย) 4 อย่าง ตามด้วยสลัด 1 อย่าง ต่อไปเป็นเมนคอร์ส เสิร์ฟข้าวกับอาหาร 3 อย่าง รวมเป็น 4 ของหวานอีก 2 อย่าง ต่อด้วยชา-กาแฟ กับขนมเปติโฟร์ และผลไม้ไทย 8 ชนิด รวมประมาณ 21 รายการ ทุกเมนูเป็นอาหารฮาลาลทั้งหมด โดยไม่มีหมูเป็นส่วนประกอบ”

.

ขณะที่เครื่องดื่มไวน์แพร์ริ่ง เป็นผลผลิตของคนไทย มีทั้งไวน์ขาว สปาร์คกลิ้งไวน์ และไวน์หวาน แม้กระทั่งชาก็เบลนด์สูตรพิเศษจากดอยตุง กาแฟสดจาก จ.น่าน เบียร์และน้ำดื่มน้ำแร่ ล้วนเมด อิน ไทยแลนด์

.

งานกาลาดินเนอร์ จะเริ่มขึ้นประมาณ 19.00 น. เสิร์ฟอาหารทานเล่นและจานเรียกน้ำย่อยก่อน ตามลำดับดินเนอร์

.

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/food/1036654

 

น้ำมันเครื่องบินเพื่อสิ่งแวดล้อม!!! ปตท. ขับเคลื่อนปท.ไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ สร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศในอนาคต

กลุ่ม ปตท. ผนึกกำลัง รุกธุรกิจน้ำมันเครื่องบินเพื่อสิ่งแวดล้อม สร้างสังคมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero ดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


วันนี้ (9 พฤศจิกายน 2565) นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียม
ขั้นปลาย  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการศึกษา พัฒนาและลงทุนผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel : SAF) ระหว่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดย นายจตุรงค์ วรวิทย์สุรวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่แผนกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (Thai Oil) โดย นายรัฐกร กัมปนาทแสนยากร 
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านกลยุทธ์องค์กร  บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GC) โดย          

นางวราวรรณ  ทิพพาวนิช  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์องค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) โดย นายสมเกียรติ เลิศฤทธิ์ภูวดล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่  กลยุทธ์ แผนและพัฒนาธุรกิจองค์กร และ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) โดย นายทรงพล เทพนำโสมนัสส์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านธุรกิจเอนเนอร์ยี่โซลูชัน ร่วมลงนาม 


การลงนามในครั้งนี้ผนวกรวมองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของกลุ่ม ปตท. ในการประกอบธุรกิจโรงกลั่น พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการพัฒนากระบวนการกลั่นผลิตภัณฑ์น้ำมันที่มีประสิทธิภาพสูงจาก Thai Oil, GC และ IRPC ตลอดจนความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยานมาอย่างยาวนานทั้งในประเทศและต่างประเทศของ OR  มาต่อยอดการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพแบบยั่งยืน ซึ่งเป็นพลังงานแห่งอนาคตที่มีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ มาตรฐานระดับโลก ได้แก่ เทคโนโลยีการผลิต Hydroprocessed Esters and Fatty Acids (HEFA) และ Alcohol to Jet (ATJ) มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำหรับอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก

 
“กลุ่ม ปตท. มุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ผลักดันเป้าหมาย Net Zero ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ชีวภาพในประเทศ ใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในเชิงเศรษฐกิจ  ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมพลังงานที่ยั่งยืน พร้อมรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศในอนาคต สอดคล้องวิสัยทัศน์  Powering Life with Future Energy and Beyond” นายนพดล ปิ่นสุภา กล่าวในตอนท้าย

PTT – OR – TOYOTA - BIG พร้อมรองรับรถยนต์ไฟฟ้า สร้าง สถานีต้นแบบเติมไฮโดรเจน แห่งแรกของไทย

“พลังงานแห่งอนาคต” PTT – OR – TOYOTA - BIG  ผนึกกำลังเสริมแกร่ง พร้อมรองรับรถยนต์ไฟฟ้า เดินหน้าเปิดสถานีต้นแบบเติมไฮโดรเจน แห่งแรกของประเทศไทย

.

(8 พฤศจิกายน 2565) - นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วย นายวิศาล ชวลิตานนท์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG) นายปาซานา กาเนซ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TDEM) และ นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) ร่วมเปิดสถานีนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle: FCEV) แห่งแรกของประเทศไทย (Hydrogen Station) ณ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี

.

โดยการนำรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง รุ่นมิไร (Mirai) ของโตโยต้า มาเพื่อทดสอบการใช้งานในประเทศไทย ให้บริการในรูปแบบรถรับส่งระหว่างสนามบินอู่ตะเภา จังหวัดชลบุรี (U-Tapao Limousines) สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้โดยสารในพื้นที่พัทยา - ชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมทำการเก็บข้อมูลเชิงเทคนิคที่ได้จากการใช้งานจริง เพื่อสร้างการรับรู้และเป็นข้อมูลรองรับการขยายผลใช้งานในอนาคต

.

ทั้งนี้นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ตระหนักถึงความสำคัญเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก จึงมุ่งผลักดันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างความร่วมมือกับภาคีต่าง ๆ เพื่อร่วมกันผลักดันประเทศไทยมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าว ทั้งนี้ ปตท. เล็งเห็นว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างไฮโดรเจน เป็นพลังงานที่มีศักยภาพ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.

อย่างไรก็ตามการนำไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ เป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับประเทศไทยที่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และการลงทุนมูลค่าสูง ความร่วมมือของ 5 พันธมิตรชั้นนำในกลุ่มพลังงานและยานยนต์ครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ทั้งในด้านมาตรฐานระดับสากล และความปลอดภัยสูงสุดที่จะส่งมอบให้กับผู้ใช้บริการในอนาคต โดย ปตท. ได้ร่วมสนับสนุนการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานของระบบอัดบรรจุก๊าซไฮโดรเจน และข้อมูลเชิงเทคนิคที่จำเป็น ร่วมผลักดันการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกันในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน

.

ด้านนายวิศาล ชวลิตานนท์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (OR) กล่าวว่า จากแนวโน้มการใช้พลังงานในการเดินทางและการขนส่งในปัจจุบันที่รถไฟฟ้าเริ่มได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น และหนึ่งในพันธกิจของ OR คือการสร้าง Seamless Mobility โดยมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะต้องการพลังงานชนิดใดสำหรับการเดินทาง เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ รวมทั้งมุ่งมั่นผลักดันการใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับการเดินทางและการขนส่งให้เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในประเทศ ตลอดจนพัฒนาธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) อย่างครบวงจร ซึ่งการสร้างสถานีบริการไฮโดรเจนเพื่อเติมไฮโดรเจนในรถยนต์ FCEV ครั้งนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญซึ่งจะช่วยเติมเต็มศักยภาพของโออาร์ในการมุ่งสู่การเป็นผู้นำ EV Ecosystem ในทุกมิติ 

.

โดยผู้บริโภคที่ใช้รถยนต์ FCEV ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเติมเชื้อเพลิง เนื่องจากการเติมไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ รูปแบบ Passenger Car ใช้เวลาเพียง 5 นาที ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ชอบการบริการที่สะดวกรวดเร็ว อีกทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคผู้ใช้หรือมีแผนที่จะใช้รถ FCEV และพันธมิตรผู้ค้าในคุณภาพและมาตรฐานการบริการ ซึ่งเป็นผลดีกับการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV และในอนาคตจะมีการพัฒนาการใช้พลังงานไฮโดรเจนในกลุ่มรถ FCEV ขนาดใหญ่ เช่น รถบัสและรถบรรทุก ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาในการเติมเชื้อเพลิง สามารถเพิ่มรอบการขนส่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำไรให้แก่ธุรกิจอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับเป้าหมายปี 2030 ของ โออาร์ ในมิติด้านสิ่งแวดล้อม ที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ (Healthy Environment) เพื่อมุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-neutrality) ภายในปี 2030 ซึ่งจะเป็นรากฐานที่นำไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่การปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Carbon Zero) ในปี 2050 ต่อไปอีกด้วย

.

ขณะที่นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (BIG) เปิดเผยว่า บีไอจีตั้งเป้าเป็นผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Technology Company) ด้วยนวัตกรรมไฮโดรเจนซึ่งถือเป็นเทรนด์ของโลกในการแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในครั้งนี้ บีไอจีจึงได้ร่วมกับ 5 พันธมิตรในการนำนวัตกรรมจากก๊าซไฮโดรเจนมาใช้จริงในอุตสาหกรรมยานยนต์

.

ซึ่งถือเป็นสถานีเติมไฮโดรเจนเข้าสู่ยานยนต์แห่งแรกของประเทศไทย โดยไฮโดรเจนจากบีไอจีเป็นพลังงานสะอาดและมาจากเทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้บีไอจียังมีแผนพัฒนาไฮโดรเจนทั้งในแบบคาร์บอนต่ำและปราศจากคาร์บอน ร่วมกับองค์กรชั้นนำในประเทศในอนาคต โดยบีไอจีได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเกี่ยวกับไฮโดรเจนมาจากแอร์โปรดักส์ (บริษัทแม่ของบีไอจีในสหรัฐอเมริกา) ซึ่งเป็นผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับก๊าซไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำและปราศจากคาร์บอนอันดับหนึ่งของโลก จึงมั่นใจได้ทั้งในด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานด้านความปลอดภัยต่าง ๆ

.

นอกจากนี้บีไอจียังมุ่งเน้นสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมในการกระจายความรู้และนวัตกรรมเกี่ยวกับไฮโดรเจนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์การเป็นผู้นำนวัตกรรมจากไฮโดรเจนของประเทศไทย การนำก๊าซไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคยานยนต์ในครั้งนี้ถือความก้าวที่สำคัญที่ช่วยประเทศไทยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Emissions

.

ส่วนนายปาซานา กาเนซ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TDEM) เน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของโตโยต้าที่มีต่อความเป็นกลางทางคาร์บอน เราเป็นหนึ่งในบริษัทที่ริเริ่มในการกำหนดเป้าหมาย ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 (2593) ด้วยความเชื่อมั่นในแนวทางเทคโนโลยีที่หลากหลาย (multiple pathways) ของเรา โตโยต้ามุ่งมั่นที่จะนำเสนอรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าและเทคโนโลยีสะอาดที่แตกต่างกันเพื่อทำให้การลดคาร์บอนสามารถทำได้ในปริมาณมากและเร็วขึ้น

.

โดยเราจะดำเนินตามพันธกิจของเราในการลดคาร์บอนตลอดวัฏจักรผลิตภัณฑ์ของรถยนต์ เราเห็นศักยภาพที่ดีในไฮโดรเจนจากการใช้งานและประโยชน์ที่หลากหลาย ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจัดเก็บ การขนส่งไปจนถึงการใช้งานในภาคส่วนต่างๆ โตโยต้าได้เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) Mirai ซึ่งหมายถึงอนาคต ในปี 2557และรุ่นที่ 2 ในปี 2564 วิสัยทัศน์ของโตโยต้าต่อสังคมปลอดคาร์บอนและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนย้ายที่ปราศจากคาร์บอนสำหรับทุกคน จะเป็นความจริงได้ก็ต่อเมื่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดรวมตัวและร่วมมือกันเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน และเนื่องจากผมเป็นหนึ่งในสองสมาชิกผู้ก่อตั้ง Hydrogen Council ในปี 2559 ผมมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีไฮโดรเจนมาสู่ความเป็นจริงในการขับเคลื่อนในชีวิตประจำวัน และอยากจะส่งเสริมให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดทำงานร่วมกันในการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับไฮโดรเจน

.

และนายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด (TMT) กล่าวปิดท้ายว่า โตโยต้ามีความท้าทายในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 โดยมีกลยุทธหลักว่าด้วยการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ในหลากหลายแนวทาง หรือ Multi Pathway เพื่อนำเสนอทางเลือกในการเดินทางที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่มที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน ด้วยยานยนต์หลากหลายระบบขับเคลื่อน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดในการตอบสนองการขับเคลื่อนของทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง

.

ทั้งนี้ เพื่อให้เทคโนโลยียานยนต์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ถูกนำไปใช้งานได้จริง เราจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจถึงรูปแบบการใช้งานที่เหมาะสมกับประเทศไทย จึงได้ริเริ่มโครงการ”การจัดตั้งเมืองที่ยั่งยืนโดยปราศจากมลภาวะ Decarbonized Sustainable City” โดยมีรถยนต์รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง โตโยต้า มิไร เป็นส่วนหนึ่งของโครงการทดลองนี้ เนื่องจากเป็นยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจนอันเป็นพลังงานทางเลือกที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนนั้น โตโยต้ามิอาจบรรลุพันธกิจดังกล่าวได้เพียงลำพัง แต่ยังต้องอาศัยความร่วมมือและการสนับสนุนจากพันธมิตรที่มีเป้าหมายเดียวกัน ดังเช่น โครงการความร่วมมือฯ อันนำมาซึ่งกิจกรรมการเปิดสถานีไฮโดรเจนแห่งแรกในเมืองไทยในวันนี้ ผมหวังว่าความร่วมมือในวันนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเติมเต็มแผนยุทธศาสตร์ Multi Pathway ของเรา ตลอดจนเป็นการร่วมเติมเต็มวิสัยทัศน์ของประเทศในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนต่อไป

มหกรรมอาหาร ว้าว !!!

มหกรรมอาหารTaste the Wonders of Australia

.

กลุ่มองค์กรด้านอาหารและไวน์ "ประเทศออสเตรเลีย" ผนึกกำลังจัดงาน “Taste the Wonders of Australia” อีเวนต์จัดแสดง

.

อาหารและไวน์สัญชาติออสเตรเลีย ด้วยความร่วมมือจากหลายองค์กรด้านอาหารและไวน์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย

.

อาทิ   Meat & Livestock Australia (MLA), Seafood Industry Australia, Dairy Australia, Horticulture Innovation Australia

.

และ Wine Australia การผนึกกำลังใน โดยครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อโชว์เคสและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมการรับประทานอาหารสไตล์ออสซี่

.

และประชาสัมพันธ์วัตถุดิบชั้นเลิศจากออสเตรเลีย ให้แก่ผู้บริโภคและผู้จัดจำหน่ายในประเทศไทย นอกจากนี้

อีเวนต์ดังกล่าวยังชวนให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมลิ้มรสเมนูอาหารไทยรสเลิศที่รังสรรค์จาก “วัตถุดิบออสเตรเลีย”

.

อีเวนต์สำคัญใน “มหกรรมอาหาร” Taste the Wonders of Australia ครั้งนี้เปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหาร

.

คนในวงการอาหาร และเหล่านักชิม ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมจากออสเตรเลีย ทั้งเนื้อแดง อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากนม

.

ผักผลไม้ ถั่ว ตลอดจนไวน์เลิศรส ภายในงาน เชฟกสิณ เดชเจริญ เชฟชื่อดังและเจ้าของธุรกิจจัดเลี้ยง Bangkok Private Chef พร้อมด้วยนักเรียน

.

เชฟจาก “โรงเรียนการอาหารไทย เอ็ม เอส ซี” ร่วมรังสรรค์เมนูอาหารไทยฟิวชั่นจากวัตถุดิบขึ้นชื่อของออสเตรเลีย

,

นับเป็นการผสมผสานรสชาติจากสองวัฒนธรรมที่แตกต่างแต่เข้ากันได้อย่างกลมกลืน พร้อมเสิร์ฟให้ผู้ร่วมงาน ทั้งเหล่าเชฟ

.

ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย เหล่านักธุรกิจ และผู้แทนจากภาครัฐ ได้ดื่มด่ำกับรสชาติความอร่อยสุดพิเศษไปพร้อมกัน

.

นอกจากนี้ยังมีนำเสนอการแพรริ่งไวน์ออสเตรเลียเพื่อเสิร์ฟร่วมกับเมนูไทยฟิวชั่นแต่ละจาน

.

เพื่อดึงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทยซึ่งสามารถแมตช์กับไวน์ออสเตรเลียได้อย่างลงตัว ชูความโดดเด่นด้าน

รสชาติ

.

และบอดี้ที่หลากหลายของไวน์ออสเตรเลีย เหล่าแขกผู้มีเกียรติในงาน ทั้งผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ตัวแทนจากรัฐบาลออสเตรเลีย

.

และประเทศไทย ตลอดจนสื่อมวลชน ยังได้ลิ้มรสเมนูอาหารมากมายที่บรรจงรังสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบของออสเตรเลียสุดพรีเมียม

.

นอกเหนือจากการเป็นเดสติเนชันการท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกแล้ว ประเทศไทยยังมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง

.

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ด้วยตลาดที่มีความคึกคัก พร้อมขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภคที่มีรายได้หลังหักภาษีสูงขึ้น

.

และตลาดการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่มีผู้มาเยือนถึง 35 ล้านรายต่อปี ความต้องการสำหรับอาหารและเครื่องดื่มนำเข้าในไทยจึงพุ่งสูงขึ้น

.

ซึ่งนับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ออสเตรเลียได้นำเสนอสินค้าคุณภาพสู่เมืองไทย

.

“ไมเคิล เฮลเลแมน” ข้าหลวงพาณิชย์อาวุโส และอัครราชทูตที่ปรึกษา (การพาณิชย์) สำนักงานการพาณิชย์

.

และการลงทุนออสเตรเลีย (ออสเทรด) กล่าวว่า “อาหารไทยนั้นขึ้นชื่อเรื่องความใส่ใจในการเลือกใช้วัตถุดิบที่สดใหม่คุณภาพดี

.

เพื่อสร้างสรรค์รสชาติอันกลมกล่อมครบรส และออสเตรเลียเองก็พร้อมนำเสนอวัตถุดิบคุณภาพระดับพรีเมี่ยม ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

.

ในเรื่องความสดสะอาด ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้สดจากธรรมชาติ เนื้อแดงที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าที่มอบรสชาติและความนุ่มเฉพาะตัว

.

พร้อมด้วยลายไขมันแทรกในเนื้อหรือมาร์บลิงที่สวยงาม อาหารทะเลจากออสเตรเลียก็เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งการผลิตที่คำนึง

.

ถึงความยั่งยืนที่มอบคุณภาพที่เหนือกว่าในทุกขั้นตอนการผลิต นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์นม ผักผลไม้สด ก็ดำเนินการผลิต

.

ภายใต้มาตรฐานการควบคุมคุณภาพที่เคร่งครัดสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศออสเตรเลียยังมีแหล่งผลิตไวน์ราว 65 แห่งทั่วประเทศ

.

ที่สามารถสร้างสรรค์รสชาติที่หลากหลายอันเป็นเอกลักษณ์ของไวน์ออสเตรเลีย ผลิตภัณฑ์จากออสเตรเลียจึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม

.

สำหรับผู้บริโภคชาวไทยที่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบคุณภาพสูงภายใต้มาตรฐานระดับสากล และรสชาติที่โดดเด่น

.

สิ่งเหล่านี้ทำให้วัตถุดิบจากออสเตรเลียเป็นที่ยอมรับจากเชฟและผู้บริโภคทั่วโลก”

.

“ในฐานะเชฟมืออาชีพ ผมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากออสเตรเลียอยู่เสมอ เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพ ความหลากหลาย และความสม่ำเสมอ

.

ของรสชาติที่เชื่อถือได้ สำหรับเมนูที่ทำในวันนี้ ผมก็เลือกใช้เนื้อออสเตรเลีย  ซึ่งเลี้ยงในทุ่งหญ้าธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และบริสุทธ์

.

รวมถึงผักผลไม้ที่มาจากออสเตรเลียก็สดใหม่และรสชาติดีมากเช่นเดียวกัน”

 

เปิดตัว “Wicked Kitchen” แบรนด์อาหารแพลนต์เบส

“NRPT” ผู้พัฒนาและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืช หรือ แพลนต์เบส ดึงสตาร์ทอัพแบรนด์อาหารโปรตีนจากพืชชื่อดังจากอังกฤษ พร้อมจับมือ “ท็อปส์” เบอร์ 1 ฟู้ดรีเทลของไทย 
.
เปิดตัว “Wicked Kitchen” แบรนด์อาหารแพลนต์เบส
ชื่อดังระดับโลกจากอังกฤษ จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟครั้งแรกในประเทศเฉพาะร้านท็อปส์ (Tops) และ ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ (Tops Food Hall) 50 สาขา ทั่วประเทศ และท็อปส์ ออนไลน์ 
.
พร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ทั้งหมด 17 รายการ ได้แก่ สินค้ากลุ่ม Frozen Ready meals และของหวาน ที่พร้อมวางจำหน่ายในช่วงแรกของการเปิดตัว ส่วนกลุ่ม Frozen pizza และไอศกรีม
.
จะพร้อมวางจำหน่ายในช่วงต้นเดือนธันวาคม โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนสินค้าเป็น 30 รายการ ในช่วงต้นปีหน้า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ มุ่งเป็นโมเดลต้นแบบการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
.
นายสเตฟาน คูม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มฟู้ด เซ็นทรัล รีเทล  กล่าวว่า “ท็อปส์” ในฐานะผู้นำฟู้ด รีเทลเมืองไทย เราให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกวันตามแนวคิด “Every Day DISCOVERY ” พร้อมตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกช่วงเวลาจากพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันพบว่า ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น 
.
ลดการบริโภคเนื้อสัตว์และหันมาเลือกรับประทานเนื้อจากพืชซึ่งดีต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้สินค้ากลุ่มแพลนต์เบสในไทยเติบโต ขณะเดียวกันในกลุ่มลูกค้าท็อปส์พบว่า มีความนิยมซื้อสินค้าแพลนต์เบสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากท็อปส์มีสินค้ากลุ่มแพลนต์เบสที่หลากหลาย มีรสชาติที่อร่อย ทำให้ผู้บริโภครับประทานได้ง่าย จากผลตอบรับที่ดีดังกล่าวทำให้ท็อปส์เล็งเห็นการเติบโตของเทรนด์ความต้องการสินค้าแพลนต์เบส 
.
เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงด้านการคัดสรรสินค้าคุณภาพจากแหล่งผลิตที่ดีที่สุดทั่วโลก เราจึงนำสินค้าชื่อดังจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า ล่าสุดได้ร่วมกับ บริษัท เอ็นอาร์พีที ผู้นำทางด้านนวัตกรรมอาหารแพลนต์เบสและอาหารแห่งอนาคต ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง อินโนบิก (เอเซีย) และ เอ็นอาร์เอฟ เปิดตัว Wicked Kitchen แบรนด์อาหารแพลนต์เบส 100% ระดับโลกจากประเทศอังกฤษจำหน่ายครั้งแรกในประเทศไทย เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะ ร้าน Tops และ Tops Food Hall  50 สาขาทั่วประเทศ และ ช่องทางท็อปส์ออนไลน์ ทำให้ลูกค้าท็อปส์จะได้เลือกซื้อสินค้าแพลนต์เบสไอเทมใหม่ที่หลากหลาย เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการรับประทานอาหารแพลนต์เบส ตลอดจนเป็นการขยายฐานลูกค้าซึ่งจะทำให้ตลาดสินค้ากลุ่มแพลนต์เบสในประเทศไทยเติบโตเพิ่มมากขึ้น
.
นายพีท สเปอเรนซาร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Wicked Kitchen กล่าวว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้าทำการตลาดในเอเชีย โดยเริ่มต้นที่ประเทศไทยเป็นที่แรก ซึ่งได้จับมือกับ “ท็อปส์”  ผู้นำธุรกิจด้านฟู้ด รีเทล และมีเจตนารมย์ร่วมกันในการปฏิวัติวงการอาหารโปรตีนจากพืช พร้อมด้วยพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง NRPT และ อินโนบิก ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้บริโภคชาวไทย 
.
ได้เข้าใจถึงความสำคัญของการทานอาหารโปรตีนจากพืช ที่ไม่ใช่เพียงเพื่อการบริโภคเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับโลกเพื่อคนรุ่นต่อไปอีกด้วย”
.
นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) (NRF) และประธานกรรมการบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวว่า ด้วยแบรนด์ Wicked Kitchen เป็นแบรนด์อาหารแพลนต์เบสที่ขายดีจากประเทศอังกฤษ และยังมีการจำหน่ายในร้านค้าปลีกชั้นนำในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศฟินแลนด์ ด้วยความโดดเด่นในเรื่องของรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เราจึงอยากให้ผู้คนได้สัมผัสประสบการณ์นี้ไปด้วยกัน 
.
โดยเรามีแผนที่จะขยายการจำหน่ายสินค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย โดยเริ่มเปิดตัว Wicked Kitchen ในประเทศไทยผ่าน “ท็อปส์” ผู้นำธุรกิจกลุ่มฟู้ด ในเครือเซ็นทรัลรีเทล ด้วยวิสัยทัศน์ที่เรามุ่งมั่นในการใช้อาหารเพื่อต่อสู้กับโลกร้อนมาโดยตลอด ผนวกกับเทรนด์ของผู้บริโภค เริ่มหันมาสนใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น 
.
ทั้งยังมีแนวโน้มการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ  โดยแบรนด์ Wicked Kitchen นี้เป็นอาหารแพลนต์เบส 100% ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้คนในปัจจุบันและยังมีไลน์สินค้าที่ วางจำหน่ายในช่วงเริ่มต้นมีความหลากหลายครอบคลุมทุกวัย เพื่อรองรับไลฟ์สต์ของผู้คน อาทิ เมนูอาหารพร้อมปรุง พิซซ่า ของหวาน ไอศกรีม ที่ได้รังสรรค์มาอย่างพิถีพิถัน  นายแดน กล่าวปิดท้าย
.
ดร. บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการต่อยอดและสร้างระบบนิเวศน์เพื่อพัฒนาธุรกิจโภชนาการ  NRPT บริษัทร่วมทุนระหว่าง อินโนบิก (เอเซีย) และ NRF จึงไม่หยุดที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งกับพันธมิตร โดยการเปิดตัว Wicked Kitchen ครั้งนี้ 
.
เป็นอีกหนึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจผลิตอาหารโปรตีนจากพืชระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ที่ช่วยเสริมองค์ความรู้การวิจัยและพัฒนาอาหารในอนาคต เติมเต็มทุกความต้องการของผู้บริโภคไทยยุคใหม่ที่กำลังหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดโมเดลของการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศไทย 
.
การเปิดตัววางจำหน่ายสินค้า Wicked Kitchen ยังได้จับมือกับ “ท็อปส์” ผู้นำธุรกิจฟู้ด รีเทลของประเทศไทยที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ มีช่องทางจำหน่ายที่หลากหลายช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้า Wicked Kitchen และเพิ่มทางเลือกในการทานอาหารโปรตีนจากพืชได้มากยิ่งขึ้น
.
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็นทรัล รีเทล เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-format and Multi-category) ในประเทศไทย และมีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ 
.
โดยเป็นผู้นำในประเทศอิตาลีและเป็นหนึ่งในผู้นำในประเทศเวียดนาม เครือข่ายร้านค้าภายใต้แบรนด์ค้าปลีก 3,550 ร้านค้า (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565) อาทิ ห้างสรรพสินค้า, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านขายสินค้าเฉพาะทาง, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต, พลาซ่า และการจำหน่ายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม Omnichannel โดยธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล ครอบคลุมทั้งหมด 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่  (1) กลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเขียนและอุปกรณ์สำนักงาน หนังสือ และ e-Book ภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ไทวัสดุ บีเอ็นบี โฮม เพาเวอร์บาย ออฟฟิศเมท บีทูเอส เมพ และเหงียนคิม (2) กลุ่มฟู้ด
.    
ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภค และสินค้าที่มักพบได้ทั่วไปในร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ ท็อปส์ แฟมิลี่มาร์ท บิ๊กซี / GO! ลานชี มาร์ท ท็อปส์ มาร์เก็ต เวียดนาม และ มินิ โก (go!) (3) กลุ่มแฟชั่น ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับภายใต้แบรนด์ค้าปลีกต่าง ๆ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต ซูเปอร์สปอร์ต และ เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป (4) กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ 
.
ซึ่งมุ่งเน้นการให้เช่าพื้นที่สำหรับร้านค้าของกลุ่มบริษัทฯ และร้านค้าและบริการของบุคคลภายนอก เช่น โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ท็อปส์ พลาซ่า และ บิ๊กซี / GO! เวียดนาม และ (5) กลุ่มเฮลธ์แอนด์เวลเนส ซึ่งมุ่งเน้นการจำหน่ายและให้บริการด้านสุขภาพคนและสัตว์เลี้ยง เช่น ท็อปส์แคร์ ท็อปส์วีต้า และ เพ็ทแอนด์มี โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 เซ็นทรัล รีเทล ดำเนินธุรกิจใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ทั้งหมด 58 จังหวัด, ประเทศเวียดนาม ทั้งหมด 41 จังหวัดและประเทศอิตาลี ในเมืองหลักๆ ทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565)
.
บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด (NRPT) มุ่งพัฒนาโปรตีนจากพืช เพื่อสนับสนุนวิถีการมีสุขภาพดีแบบคนรุ่นใหม่ที่หันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ด้วยผลิตภัณฑ์ทางโภชนาการที่ทำจากพืช รวมถึงต้องการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบทางการเกษตรภายในประเทศ เพื่อสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช แบบครบวงจร
 

ปตท. ร่วมกับ ไออาร์พีซี ลุยธุรกิจเคมีภัณฑ์เพื่อชีวิต

นนี้ (7 พฤศจิกายน 2565) – นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ยืนกลาง) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อศึกษาการลงทุนตามกลยุทธ์ Advanced Business Integration (ABI) ระหว่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) โดยนายประสงค์ อินทรหนองไผ่ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารกลยุทธ์กลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากซ้าย) และนายกฤษณ์ อิ่มแสง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากขวา) พร้อมด้วย นายจตุรงค์ วรวิทย์สุรวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่แผนกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ซ้าย) และนายสมเกียรติ เลิศฤทธิ์ภูวดล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (ขวา) ร่วมเป็นสักขีพยาน
 
ปตท. และ ไออาร์พีซี จะร่วมกันพัฒนา 4 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจผลิตวัสดุประสิทธิภาพชั้นสูง (High Performance Materials) ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนสำคัญของ Li-ion แบตเตอรี่ (Battery Component) ธุรกิจการทำให้สารบริสุทธิ์ (Purification) และธุรกิจเกี่ยวกับเคมีภัณฑ์เพื่อชีวิต (Chemical for Life) ซึ่งสอดรับกับวิสัยทัศน์ของ ปตท. Powering Life with Future Energy and Beyond โดยในช่วงเริ่มต้นจะเน้นการศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจเกี่ยวกับแผ่นกรองอากาศและน้ำ (Air และ Water Purification) สอดรับกับแนวโน้มของผู้บริโภคที่ดูแลรักษาสุขอนามัยมากขึ้น พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ต่อยอดผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติก Polypropylene (PP) และ Acrylonitrile Butadiene Styrene (ABS) ของ ไออาร์พีซี ได้เป็นอย่างดี

“วันกอบกู้เอกราชไทย” 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาคืนได้

#วันกอบกู้เอกราชไทย

.

ย้อนวันนี้ในอดีต เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 การกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นับเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเรื่องราวในครั้งนั้นเป็นการรวบรวมกองกำลังเพื่อขับไล่กองทัพข้าศึก ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในกรุงศรีอยุธยา ภายหลังจากการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง

.

ตามหลักฐานการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 เวลาประมาณบ่ายสามโมง กองทัพข้าศึกได้จุดไฟสุมรากกำแพงเมืองบริเวณหัวรอริมป้อมมหาชัย และยิงปืนใหญ่ระดมเข้าในพระนคร จากบรรดาค่ายของข้าศึกที่รายล้อมอยู่รอบนอกทุกค่าย เมื่อพลบค่ำกำแพงเมืองจุดที่ถูกไฟสุมได้ทรุดลง เวลาประมาณ 2 ทุ่ม แม่ทัพข้าศึกจึงยิงปืนเป็นสัญญาณให้ทหารบุกเข้าพระนครพร้อมกันทุกด้าน ข้าศึกใช้บันไดปีนพาดเข้ามาได้จากจุดที่กำแพงทรุดนั้นก่อน

.

ทหารอยุธยาที่รักษาหน้าที่ไม่เหลือกำลังที่จะสามารถต่อสู้ได้ เป็นเหตุให้ข้าศึกสามารถเข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุกทาง หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว กองทัพข้าศึกได้ตั้งค่ายพักอยู่ถึงวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ.2310 ก่อนจะรวบรวมเชลยและทรัพย์สมบัติ ยกทัพกลับ

.

กระทั่งเดือนตุลาคม พ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงยกกองทัพเรือจากจันทบุรีเข้ามาทางปากแม่น้ำเจ้าพระยา โจมตีข้าศึกที่เหลือ ณ เมืองธนบุรี ทรงยึดเมืองธนบุรีคืนได้และประหารนายทองอินไส้ศึกคนไทย แล้วทรงเคลื่อนทัพต่อไปที่กรุงศรีอยุธยา เข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้น ปราบข้าศึกจนราบคาบ และกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ เมื่อวันศุกร์ เดือน 12 ขึ้น15 ค่ำ จุลศักราช 1129 ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษ ซึ่งตรงกับวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 เวลาประมาณ 13.00 น. รวมพระองค์ทรงใช้เวลา 7 เดือนหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในการทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้สำเร็จ

.

ที่มา : https://www.finearts.go.th/literatureandhistory/

.

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. CLOUD47Bangkok
Take Me Top