Friday, 19 April 2024
NEWSFEED

เจโทรเปิดตัวแคมเปญ "[ Made in JAPAN ]

เจโทรเปิดตัวแคมเปญ "[ Made in JAPAN ] วัตถุดิบญี่ปุ่นแท้ ส่งต่อความรัก ด้วยความอร่อย" ประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นร่วมกับสื่อชั้นนำและร้านอาหาร 236 ร้านทั่วไทย

.

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ประกาศจัดแคมเปญ "[ Made in JAPAN ] วัตถุดิบญี่ปุ่นแท้ ส่งต่อความรัก ด้วยความอร่อย" ร่วมกับร้านค้าที่ได้รับรองเครื่องหมาย "Japanese Food Supporter"(*) และบริษัทผู้ส่งออก-นำเข้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคชาวไทยได้สัมผัสกับเสน่ห์และได้ลิ้มรสความอร่อยของวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น

.

แคมเปญจัดขึ้นระหว่างวันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน 2565 ถึง วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 โดยเป็นการผนึกกำลังระหว่างร้านอาหารในกรุงเทพฯ 150 ร้าน และในต่างจังหวัด 86 ร้าน รวม 236 ร้าน ร่วมกับสื่อชั้นนำ เพื่อประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และเผยแพร่เคล็ดลับความอร่อยของวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นแท้ ที่ผ่านกระบวนการเพาะเลี้ยง เพาะปลูก และผลิตมาอย่างพิถีพิถันตามแบบฉบับญี่ปุ่น เพื่อให้คนไทยได้มีโอกาสลิ้มลองรสชาติความอร่อยของวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่น ผ่านเรื่องราวที่มาอันน่าสนใจ รวมถึงได้ลิ้มลองวัตถุดิบตามฤดูกาล เสมือนบินไปทานที่ญี่ปุ่นด้วยตนเอง

.

ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยโดยเฉพาะในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเพื่อให้คนไทยทั่วประเทศได้มีโอกาสลิ้มลองและรับรู้ถึงเสน่ห์ของวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นได้อย่างทั่วถึง เจโทร กรุงเทพฯ จึงได้จัดแคมเปญนี้ขึ้นโดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่ขยายขอบเขตแคมเปญไปยังร้านอาหารในต่างจังหวัดด้วย โดย นอกเหนือจากวัตถุดิบที่คนไทยคุ้นเคยอยู่แล้วอย่างเนื้อวัว หรืออาหารทะเลญี่ปุ่นแล้ว ยังมีการนำเสนอวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นที่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายอย่าง "เนื้อหมูญี่ปุ่น" ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในผู้บริโภคชาวไทยด้วย

.

นายคุโรบูดะ จุน ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าวถึงแนวคิดที่มาและความคาดหวังต่อการดำเนินโครงการว่า "ตั้งแต่ที่ได้มีการเริ่มสำรวจจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยเมื่อปี 2550 จะเห็นได้ว่าร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอเรื่อยมา แต่เมื่อปี 2564 การออกมาตรการล็อกดาวน์ห้ามบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มในร้าน จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ประกอบการร้านอาหาร แต่กระนั้นก็ตาม ร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 4,370 ร้าน จากจำนวน 4,094 ร้านในปี 2563 โดยเฉพาะจำนวนร้านอาหารที่อยู่ในต่างจังหวัดนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทางเจโทร กรุงเทพฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่อาหารญี่ปุ่นได้กลายเป็นสิ่งใกล้ตัวและได้รับความนิยมจากคนไทยมากขนาดนี้ การจัดแคมเปญนี้มุ่งเน้นประชาสัมพันธ์ไปยังผู้บริโภคชาวไทยทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยได้รับความร่วมมือจากร้านอาหารที่เข้าร่วมแคมเปญในการรังสรรค์เมนูจากวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ส่งมอบประสบการณ์ความอร่อยใหม่ๆ ให้คนไทย

.

ได้เพลิดเพลินกัน โดยในครั้งนี้มีวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นที่คนไทยยังไม่เคยได้ลิ้มลอง อาทิ เนื้อหมูนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น มาเสิร์ฟในเมนูที่เข้าร่วมแคมเปญอีกด้วย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าแคมเปญนี้จะสร้างโอกาสให้คนไทยทุกคน แม้ว่าตัวจะอยู่ในประเทศไทย แต่ก็สามารถสัมผัสเสน่ห์และลิ้มลองความอร่อยของวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นแท้ๆ ได้ มุ่งหวังที่จะสร้างแฟนพันธุ์แท้ของวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่น ให้เกิดการบริโภคซ้ำในอนาคต และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแคมเปญนี้จะสามารถสร้างประโยชน์และรายได้อย่างต่อเนื่องให้กับร้านอาหารรวมถึงบริษัทผู้ส่งออก-นำเข้าที่สนับสนุนวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย"

.

POINT 1 | ขยายขอบเขตการจัดแคมเปญให้กว้างขึ้นครอบคลุมไปยังร้านอาหารในต่างจังหวัด

.

แคมเปญ "[ Made in JAPAN ] วัตถุดิบญี่ปุ่นแท้ ส่งต่อความรัก ด้วยความอร่อย" นี้ได้รับความร่วมมือจากร้านอาหารที่ได้รับการรับรองเครื่องหมาย "Japanese Food Supporter" มากถึง 32 แบรนด์ 236 ร้าน ร่วมกันประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น โดยวัตถุดิบหลักในแคมเปญนี้ ได้แก่ เนื้อวัว เนื้อหมู และอาหารทะเล ในจำนวนดังกล่าวมีถึง 86 ร้านที่อยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยโดยเฉพาะในต่างจังหวัดมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก จึงอยากให้คนไทยในต่างจังหวัดได้มีโอกาสรับรู้ถึงเสน่ห์ความอร่อยแบบต้นตำรับญี่ปุ่น [ Made in JAPAN] ได้ลิ้มลองเมนูที่ใช้วัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นแท้พร้อมกันทั่วไทย

.

POINT 2 | ลิ้มลอง "เนื้อหมูนำเข้าจากญี่ปุ่นแท้ๆ" ได้ในไทย

.

นอกจากวัตถุดิบที่คนไทยคุ้นเคยอย่างเนื้อวัว หรืออาหารทะเลญี่ปุ่นแล้ว แคมเปญนี้ มีการนำเสนอวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นที่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายอย่าง "เนื้อหมูญี่ปุ่น" ด้วย โดยประเทศไทยเพิ่งมีการผ่อนคลายการนำเข้าเนื้อสุกรจากญี่ปุ่นเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา แต่จำนวนการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นนั้นยังมีจำนวนไม่มากนัก แคมเปญนี้จึงมุ่งหวังให้คนไทยทุกคนได้มีโอกาสลิ้มลองเนื้อหมูนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ซี่งมีลักษณะเด่นที่มีเนื้อที่นุ่มชุ่มฉ่ำลิ้น มันที่แทรกมีรสชาติอร่อยเป็นเอกลักษณ์ ให้เนื้อหมูนำเข้าจากญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากขึ้นในผู้บริโภคชาวไทย นำไปสู่ปริมาณการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีวัตถุดิบที่ยังไม่ได้เป็นที่รู้จัก อาทิ ปลาบุริ ปลาซันมะ นำเสนอในแคมเปญนี้อีกด้วย

.

POINT 3 | ผนึกกำลังกับร้านอาหาร ด้วยแนวคิด "ร้านอาหาร = ช่องทางการสื่อสารกับผู้บริโภค" ประชาสัมพันธ์เข้าถึงผู้บริโภคกว่า 10 ล้านคน

.

แคมเปญมีกำหนดการในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวาง

.

ช่องทางที่ 1 ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อชั้นนำรวมทั้งอินฟลูเอนเซอร์ นำเสนอเกี่ยวกับเสน่ห์ของวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น และเผยแพร่ให้ผู้บริโภคชาวไทยรับรู้เกี่ยวกับการจัดแคมเปญในครั้งนี้ โดยมุ่งหวังให้เกิดการบริโภคเมนูที่ใช้วัตถุดิบญี่ปุ่นดังกล่าวที่ร้านอาหาร และมีกำหนดที่จะดำเนินการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงของแคมเปญ เพื่อที่จะให้เกิดความต่อเนื่องและเกิดการบริโภคซ้ำจริงในอนาคต โดยแบ่งเป็นช่องทางหลักๆ ได้แก่ การ PR ผ่านหน้าเพจหลักของแคมเปญ ด้วยการร่วมมือกับ Wongnai แพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหารและโปรโมชั่นต่างๆ ซึ่งมีผู้ใช้งานประจำกว่า 14 ล้านคนต่อเดือน และประสานกำลังกับอินฟลูเอนเซอร์สายอาหารชื่อดัง ในการเดินสายทำคอนเทนต์ที่ร้านอาหารที่เข้าร่วมแคมเปญ โดยนำเสนอเสน่ห์ เรื่องราวความใส่ใจ ความพิถีพิถันของผู้ผลิตญี่ปุ่นต่อวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นก่อนที่จะถูกส่งตรงถึงผู้บริโภคชาวไทย

.

ช่องทางที่ 2 ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของร้านอาหาร ทางสื่อหน้าร้าน และสื่อโซเชียลมีเดีย หรืออินฟลูเอนเซอร์ของทางร้าน นำเสนอเคล็ดลับความอร่อยของวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นแท้ตามฤดูกาล ผ่านช่องทางหลากหลาย ทั้งการแนะนำของพนักงานโดยตรง รวมไปถึงการทำสื่อประชาสัมพันธ์ออฟไลน์ที่หน้าร้าน อย่างเมนู หรือป้ายโปสเตอร์ และการประชาสัมพันธ์ทางออนไลน์ผ่าน Facebook หรือ Instagram ของทางร้าน โดยได้มีการรวบรวมข้อมูลของร้านอาหารที่เข้าร่วมแคมเปญทั้งหมดนำเสนอในหน้าเพจหลักของแคมเปญใน Wongnai อีกด้วย ร้านอาหารจึงได้กลายเป็น "สื่อกลาง" ในการสื่อสารกับผู้บริโภค ซึ่งถือเป็นแนวคิดหลักของแคมเปญในครั้งนี้

.

โดยการผนึกกำลังดังกล่าว มีเป้าหมายที่จะประชาสัมพันธ์เข้าถึงคนไทยกว่า 10 ล้าน reach หรือทุกๆ 1 ใน 6-7 คน ของคนไทยทั่วประเทศ

.

ทางเจโทรฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าแคมเปญนี้จะทำให้ คนไทยทั่วประเทศได้รับรู้ถึงเสน่ห์ของวัตถุดิบอาหารญี่ปุ่นแท้ได้อย่างทั่วถึง นำไปสู่การขยายช่องทางการตลาดให้กับผู้ส่งออกสินค้าอาหารจากประเทศญี่ปุ่นไปยังร้านอาหารต่างๆ ในประเทศไทย ไม่จำกัดแค่ในกรุงเทพมหานครแต่ขยายไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย และหวังว่าในโอกาสนี้ คนไทยทุกคนจะได้ร่วมลิ้มลองวัตถุดิบอาหารนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นแท้ๆ ผ่านแคมเปญนี้ ให้หายคิดถึงญี่ปุ่นกัน

.

(*) ร้านค้าที่ได้รับการรับรองเครื่องหมาย "Japanese Food Supporter"

.

"Japanese Food Supporter" คือ ระบบการรับรองร้านค้าที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นโดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงญี่ปุ่น (MAFF) และเจโทรฯ ซึ่งร้านค้าที่ได้รับการรับรองทั่วโลกมีจำนวน 8,453 ร้าน ในประเทศไทยมีร้านค้าที่ได้รับการรับรอง 865 ร้าน (ร้านอาหาร 587 ร้าน ร้านค้าปลีก 278 ร้าน) (ข้อมูลเดือนกันยายน 2565)

.

แหล่งที่มา: https://www.ryt9.com/s/prg/3369713

 

เมนู Plant-based ยอดนิยมของร้าน alt.Eatery

เมนู Plant-based ยอดนิยมของร้าน alt.Eatery ทั้งโดนัท ผัดไทย ไก่ป๊อป เกี๊ยวซ่า ที่คุณต้องลอง แวะมาชิมที่ร้านได้ หรือจะมาเลือกซื้อสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิดก็ได้เช่นกัน

ร้านตั้งอยู่  ริมถนนสุขุมวิท 51 เปิดบริการทุกวัน 8 โมงเช้า-3 ทุ่ม มีที่จอดรถด้านหลังร้าน เดินทางได้ทั้งรถสาธารณะ รถส่วนตัว ส่วนการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอสมายัง ร้าน alt.Eatery ให้ลงที่สถานีทองหล่อ ใช้ทางออกหนึ่ง แล้วเดินมาที่ร้านได้อย่างสะดวกสบายจาก Skywalk จะมองเห็นรั้วสีเหลืองของร้าน หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  เฟซบุ๊ก เพจ alt.Eatery

มูนบาร์ บาร์สุดหรูบนชั้น 61 โรงแรมบันยันทรี สาทร

คุณสามารถชมวิวทิวทัศน์เมืองกรุงเทพ ได้แบบ 360 องศา อีกทั้งยังมีวิวของโค้งน้ำเจ้าพระยาเป็นไฮไลท์เด็ดอีกด้วย เมนูอาหารของที่นี่ก็มีให้ลิ้มลองหลากหลายทั้งอาหารซีฟู้ด ล็อปสเตอร์ ปู กุ้งเสือ หอยนางรม หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ Sashimi Set เสิร์ฟทั้งแซลมอน ทูน่า และโฮตาเตะ มีบาร์เปิดโล่งให้ได้นั่งจิบเครื่องดื่มบนชั้นดาดฟ้าสุดโรแมนติกพร้อมโบกมือลายามเย็นไปจิบค็อกเทลเคล้าแสงจันทร์ด้วยเคาท์เตอร์ดีไซน์รูปทรงเพชรที่สามารถนั่งล้อมกันสุดชิลล์ เติมสีสันให้ช่วงเวลาดีๆ ด้วย Moon Walk สะพานกระจกใสที่ยื่นตัวออกไปนอกอาคารให้คุณได้แชะภาพสวยเก๋ด้วยแบล็คกราววิวเมืองมหานคร

จะได้ดูไหม บอลโลก!! เบื้องต้นมีช่องทางถ่ายทอดแน่นอน แต่ยังไม่เรียบร้อยเรื่องลิขสิทธ์

บอลโลก 2022 ไทยจะได้ดูหรือไม่

เบื้องต้นชัวร์แล้ว ถ่ายทอดสดช่องทางไหน? ใช้งบ กสทช. แต่อาจดึงเอกชนเข้าร่วม

.

การแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 ซึ่งเตรียมจัดขึ้นที่ประเทศกาตาร์ ในช่วงปลายเดือนนี้ (พฤศจิกายน 2565) นั้นใกล้เข้ามาทุกที แต่กระแสและความชัดเจนในเรื่องของการถ่ายทอดสดในไทย ยังไม่คึกคักเท่าที่ควร เพราะจนถึงปัจจุบัน (3 พฤศจิกายน 2565) ไทยยังคงไม่ได้ข้อสรุปเรื่องการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก แต่อย่างใด

.

ซึ่งเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2565 พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และคณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ว่า ได้กำชับให้ กกท. เร่งดำเนินการประสานงาน กสทช. ให้คนไทยได้ชมการถ่ายทอดสด ฟุตบอลโลก 2022 ประเทศกาตาร์ (21 พฤศจิกายน -18 ธันวาคม 2565)

.

โดยความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ThaiPBS ได้รายงานถึง ตัวเลขที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เสนอไปยัง กสทช. คือ 1,600 ล้านบาท ในขณะที่ กสทช. มีเงินในกองทุนเหลือเพียง 900 ล้านบาท จึงให้ กกท. ไปจัดทำรายละเอียด พร้อมเจรจากับเอเจนซี่ เพื่อขอลดราคา

.

คาดว่าจะมีความชัดเจนในวันนี้ (3 พฤศจิกายน) อีกทั้งอาจจะยังต้องดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงขัน ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับเอกชนที่เป็นเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์ 2 รายภายในประเทศ แต่ยังยึดฟูลแพ็กเกจ ถ่ายทอดสดครบทั้ง 64 นัด เป็นหลัก

.

สำหรับช่องทางการถ่ายทอดสด บอลโลก 2022 ในประเทศไทย

.

- ผู้ดำเนินการถ่ายทอดสด ได้ข้อสรุปแน่นอนแล้วว่า กกท. จะเป็นศูนย์กลางถ่ายทอด ผ่านช่องหลัก T-Sport ส่วนสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ๆ ยังไม่มีการติดต่อเข้ามา

.

- การถ่ายทอดบอลโลก 2022 ในไทย จะครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น ช่องฟรีทีวี เพย์ทีวี ออนไลน์ และการรับชมผ่านแอปพลิเคชัน เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งจะดูสดทางฟรีทีวี และบางนัดจะต้องดูทางเพย์ทีวีที่มีค่าบริการ

.

ส่วนเพื่อบ้านในแถบประเทศอาเซียน กับลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด บอลโลก 2022 จากข้อมูลพบว่า ในกลุ่มประเทศอาเซียน มีเพียง ไทย ลาว และเมียนมา เท่านั้นที่ยังไม่ได้ตกลงซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก ราคาที่ฟีฟ่า (FIFA) กำหนดให้ไทยมีราคาค่อนข้างสูง โดยประเมินจากความนิยมฟุตบอลในประเทศและขนาดของเศรษฐกิจ ซึ่งไทยถูกจัดให้อยู่ในระดับเดียวกับมาเลเซีย

.

เบื้องต้น ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดครบ 64 นัด อยู่ที่ 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1,444 ล้านบาท ) แต่มาเลเซียเลือกถ่ายทอดสดทางฟรีทีวี จำนวน 27 นัด และเทปถ่ายทอดอีก 9 นัด ใช้เงินประมาณ 261 ล้านบาท

.

ขณะที่ เวียดนาม ซื้อในราคาราว 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 532 ล้านบาท) เนื่องจากฟีฟ่าประเมินขนาดของเศรษฐกิจของเวียดนามเล็กกว่าไทย ส่วน ฟิลิปปินส์ ถ่ายทอดสดทางเพย์ทีวี ซื้อในราคาประมาณ 1,306 ล้านบาท, อินโดนีเซีย ซื้อในราคาประมาณ 1,596 ล้านบาท ด้าน สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ซื้อแพงที่สุดในอาเซียน โดยถ่ายทั้ง 64 นัด ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ราคา 2,636 ล้านบาท และมีเพียง 9 นัด เท่านั้นที่ถ่ายทอดสดทาง ฟรีทีวี

.

ที่มา:ThaiPBS, กรุงเทพธุรกิจ

กรมบัญชีกลางอัปเดตการจ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

กรมบัญชีกลางอัปเดตการจ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตั้งแต่ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

.

ทุกวันที่ 1 ของเดือน (ถอนเป็นเงินสดไม่ได้และไม่สะสมในเดือนถัดไป)

.

-วงเงินซื้อสินค้า 200/300 บาทต่อเดือน

.

-ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 100 บาทต่อ 3 เดือน (25 ต.ค.-ธ.ค. 2565)

.

-บขส. 500 บาทต่อเดือน

.

-รถไฟ 500 บาทต่อเดือน

.

-ค่ารถไฟฟ้า (MRT-BTS-ARL)  / ขสมก 500 บาทต่อเดือน

.

ทุกวันที่ 18 ของเดือน (ถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไป)

.

-เงินคืนค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน)

.

-เงินคืนค่าน้ำประปา ไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ใช้น้ำประปาไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาท ส่วนที่เกินจาก 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชำระเอง)

.

ทุกวันที่ 22 ของเดือน (ถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไป)

.

-เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและได้รับเงินเบี้ยความพิการ)

 

alt.Eatery สุขุมวิท 51 คอมมูนิตี้อาหาร Plant-based อาหารแห่งอนาคต

กระแส Plant-based กำลังกลายเป็นเทรนด์ระดับโลก เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์รวมถึงเทรนด์ในการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมเพราะกระบวนผลิตและบริโภคเนื้อจากพืช (Plant-based) ช่วยลดโลกร้อนได้ และคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ที่กลายเป็นอาหารของมนุษย์มาอย่างยาวนาน โดยมีผลสำรวจของ Euromonitor International's Voice of the Industry: Health and Nutrition 2022 ที่ตั้งคำถามว่า "เหตุผลอะไรที่คุณบริโภค Plant-based" 

สำรวจเมื่อ ค.ศ. 2021 เปรียบเทียบกับ ค.ศ. 2022 ล่าสุด ผลปรากฏว่ามีเหตุผลในสามอันดับแรกไม่ต่างกัน ได้แก่ ร้อยละ 37 ทาน Plant-based เพราะรู้สึกแข็งแรงขึ้น ตามด้วย ร้อยละ 25 ทาน Plant-based เพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพในระยะยาว และร้อยละ 24 ทาน Plant-based เพราะรสชาติอร่อย ส่วนประมาณการมูลค่าตลาดของ Plant-based ในประเทศไทย โดยบริษัท Euromonitor and Allies ประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 845 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2562 เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2567 โดยมีการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี ธุรกิจอาหาร Plant-based จึงกลายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ในการรักษ์โลกใบนี้เท่านั้นแต่ยังตอบโจทย์เรื่องเทรนด์สุขภาพที่มาแรงอีกด้วย

คุณพรรณนภิศ ฤทธิไพโรจน์ (คุณพลอย) ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและการตลาด บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด (NRPT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100%) กับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร พูดคุยถึงธุรกิจ “Life Science” อาหารเพื่อสุขภาพ Plant-based กับทีมข่าว THE STATES TIMES ว่า “ร้าน alt.Eatery เป็นคอมมูนิตี้อาหาร Plant-based ร้านที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แห่งแรกบนพื้นที่ของแสนสิริ ริมถนนสุขุมวิท 51 ภายในร้านประกอบด้วย 2 โซน ได้แก่ร้านอาหาร และ mini mart ในโซนร้านอาหารมีเมนูตั้งแต่ appetizer, main, ของหวาน และโซน mini mart มีสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิด จากผู้ประกอบการมากกว่า 80 ราย ให้เลือกซื้อ”

คุณพลอย อธิบายต่อว่า “การรับประทานอาหาร Plant-based เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เพราะมันคือไลฟ์สไตล์ ได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและยังช่วยรักษ์โลกอีกด้วย เราไม่ได้ให้ความสำคัญด้านอาหาร Plant-based เพียงอย่างเดียว เราให้ความสำคัญแม้กระทั่งตัวอาคารของร้าน alt.Eatery ด้วย เพราะมองว่าทุกจุดคือความยั่งยืน เริ่มจากตัวอาคารที่สร้างด้วยแนวคิด Low Carbon Footprint ด้านหลังร้านมีการตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV ส่วนบนหลังคาของอาคารมีการใช้ระบบ Solar Roof เพื่อประหยัดพลังงาน หรือแม้กระทั่งตัวอาคารก็สร้างแบบ Complete Knock-Down ไม่มี Construction Wastes เลย ทุกจุดเราสนใจความยั่งยืนมาก”

ส่วนคำถามที่ว่า Plant-based มีความแตกต่างกับอาหารในปัจจุบันอย่างไร คุณพลอยอธิบายว่า “Plant-based คือนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต นวัตกรรมทำให้สามารถแยกโปรตีนและแป้งออกจากกันได้ สามารถพัฒนาโภชนาการอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นให้เหมาะกับบุคคลแต่ละกลุ่ม ตามอายุ เพศ หรือความต้องการด้านโภชนาการเพื่อป้องกันโรคและโภชนาการทางการแพทย์ (Medical Nutrition) สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการดูแลทางโภชนาการ ผู้ป่วยเฉพาะโรค ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทานแต่เนื้อสัตว์และไม่ทานพืชผักเลยก็อาจจะขาดกรดอะมิโนบางชนิดที่อยู่ในพืชผักได้ ซึ่ง Plant-based สามารถใส่กรดอะมิโนลงไปหรือการพัฒนาโภชนาการอาหารให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในอนาคต เราสามารถ Customize ให้เหมาะสม หรือในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวเราสามารถใช้นวัตกรรมปรับเนื้อให้อ่อนนุ่มเพื่อให้ผู้สูงอายุเคี้ยวได้ง่ายขึ้น”

ส่วนจุดเด่นของร้าน alt.Eatery คืออะไร คุณพลอยกล่าวว่า “คือเรื่องราคา เพราะราคาเป็นหนึ่งใน Pain Point ที่สำคัญมาก สินค้า Plant-based โดยทั่วไปมีราคาสูง เราอยากให้มาลอง เลยทำราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาท ส่วนเรื่องของรสชาติ เราได้เชฟชั้นนำ อย่างเชฟใบเตย เชฟชื่อดังจากรายการ Top Chef Thailand ขนมหวาน มาทำขนมหวานและเชฟท่านอื่นๆ มาปรุงเมนูอาหารสูตรเด็ด เพราะเราอยากลองว่าถ้าปรุงโดยฝีมือเชฟ คนทานจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งเราได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ปัจจุบันร้าน alt.Eatery ไม่เคยโฆษณาเลยว่าเป็นวีแกน หรือเป็น Plant-based ลูกค้าที่เดินเข้ามาที่ร้านเห็นตู้โดนัทแล้วอยากลองทาน เห็นผัดไทย เบอร์เกอร์แล้วชอบ มาลองดูดีกว่า ส่วนใหญ่ก็จะประหลาดใจว่าเป็น Plant-based เหรอแต่รสชาติอร่อยมาก มีลักษณะแบบนี้เยอะมาก เราดีใจที่คนเริ่มเปิดใจและรับรู้มากขึ้นว่าไม่ใช่อาหารเจ อาหารมังสวิรัติ แต่เป็นอาหาร Plant-based ส่วนเมนูที่ได้รับความนิยมสูงสุดของร้าน alt.Eatery ถ้าเป็นของหวาน ก็คือ โดนัท ส่วนของคาวก็คือ ผัดไทย ไก่ป๊อป และเกี๊ยวซ่า”

ท้ายสุดนี้คุณพลอยเชิญชวน ให้มาลองทานอาหารหรือช้อปสินค้าจากผู้ประกอบการ Plant-based ที่ร้าน alt.Eatery ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท 51 “เรื่องเมนูอาหารในอนาคตจะมีเมนูใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแน่นอน เช่น Plant-based เนื้อปู สำหรับร้านเราเปิดบริการทุกวัน 8 โมงเช้า-3 ทุ่ม มีที่จอดรถด้านหลังร้าน มีหลายคนถามว่าที่ตั้งใจกลางเมืองขนาดนี้เอาที่ไปทำที่จอดรถทำไม เพราะเราอยากบริการทุกคนให้สะดวกสบาย เดินทางได้ทุกรูปแบบทั้งรถสาธารณะ และรถส่วนตัว เพื่อให้มาที่ร้าน alt.Eatery ได้ง่ายขึ้น”


ส่วนการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอสมายัง ร้าน alt.Eatery ให้ลงที่สถานีทองหล่อ ใช้ทางออกหนึ่ง แล้วเดินมาที่ร้านได้อย่างสะดวกสบายจาก Skywalk จะมองเห็นรั้วสีเหลืองของร้าน หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก เพจ alt.Eatery

เพจ:https://web.facebook.com/alt.Eatery/?_rdc=1&_rdr

Virgin Australia ไอเดียเก๋ ‘นั่งตรงกลาง’ มีสิทธิลุ้นรางวัล 5 ล้าน

ผู้โดยสารเครื่องบินต่างรู้กันดีว่า “ที่นั่งตรงกลาง” เป็นอะไรที่เลี่ยงได้ควรเลี่ยง เพราะนอกจากจะไม่มีวิวหน้าต่างให้ดู ยังลุกนั่งลำบาก ไปห้องน้ำก็ไม่สะดวก

เมื่อไม่นานนี้ สายการบินเวอร์จินออสเตรเลีย (Virgin Australia) ได้จัดทำผลสำรวจออนไลน์ซึ่งพบว่า มีผู้โดยสารแค่ 0.6% จากทั้งหมด 7,500 คนที่โหวตเลือก (หรืออาจจะมือลั่น) ที่นั่งตรงกลางว่าเป็นที่นั่งโปรดของพวกเขา

ทว่าตัวเลขนี้อาจไม่จริงอีกต่อไป เพราะล่าสุดเวอร์จินออสเตรเลียได้จัดแคมเปญ “ลอตเตอรี่” ส่งเสริมการขายที่นั่งตรงกลาง โดยผู้โดยสารที่สมัครใจจอง หรือถูกจัดที่นั่งตรงกลางบนเที่ยวบินของบริษัท จะมีสิทธิลุ้นรางวัลรวมมูลค่าสูงสุดถึง 230,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 5.6 ล้านบาท

“เวอร์จินออสเตรเลียเป็นสายการบินที่เน้นความแตกต่าง และเรามีความยินดีที่ได้จัดกิจกรรมใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น เพื่อให้ทุกแง่มุมของประสบการณ์การเดินทางกับเราเป็นเรื่องน่าประทับใจ” เจย์น ฮรลิคกา (Jayne Hrdlicka) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เวอร์จินออสเตรเลียกรุ๊ป ระบุในจดหมายข่าว

“ผู้โดยสารจะมีสิทธิลุ้นรับรางวัลรวมมูลค่าสูงสุด 230,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย เพียงแค่ท่านนั่งในที่นั่งตรงกลาง”

ผู้โดยสารอายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งเป็นสมาชิก Velocity Frequent Flyer และนั่งที่นั่งตรงกลาง จะมีสิทธิร่วมลุ้นลอตเตอรี่ผ่านแอปของเวอร์จินออสเตรเลีย โดยสามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 23 เม.ย. ปี 2023

สายการบินจะมีการสุ่มรายชื่อผู้โชคดีทุกสัปดาห์ เพื่อรับรางวัลบัตรโดยสารเครื่องบินฟรี ทริปเที่ยวผับด้วยเฮลิคอปเตอร์ (helicopter pub crawl) และรางวัลที่พัก 2 คืนที่เมืองแคนส์ (Cairns) พร้อมตั๋วเครื่องบินและทริปกระโดดบันจี้จัมป์ เป็นต้น

หลังจากเวอร์จินออสเตรเลียประกาศแคมเปญนี้ทางโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 24 ต.ค. ปรากฏว่ามีชาวเน็ตจำนวนมากเข้าไปแสดงความเห็นชื่นชมว่าเป็นกิจกรรมที่ “ยอดเยี่ยม” แต่มีบางคนที่นั่งยัน+นอนยันว่า ถึงยังไงก็ไม่มีวันเลือกที่นั่งตรงกลางอย่างแน่นอน

รถ EV จีนมาแรงแซงรถน้ำมัน คนแห่จอง-ยอดขายพุ่ง หรูหราเทียบชั้นรถญี่ปุ่น-ตะวันตก

ค่ายรถยนต์จีนกำลังบุกตลาดโลกต่อเนื่อง หวังต่อกรกับแบรนด์ดังจากค่ายรถยนต์ยุโรป รวมถึงกระโดดเข้ามากวาดตลาดที่กำลังเติบโตอย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบไม่หยุด

 

ในประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในหมุดหมายของค่ายรถยนต์จีนที่พร้อมเข้ามาแย่งส่วนแบ่งออกจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่ครองตำแหน่งเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดถึง 80% มาช้านาน

 

โดยเมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดจีนค่ายดังอย่าง BYD  ประกาศที่จะสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าสาขาต่างประเทศแห่งแรกของบริษัทที่ไทย โดยเลือกที่ทำเลที่จังหวัดระยอง ในการสร้างโรงงาน เพื่อผลิตรถยนต์ป้อนตลาดในอาเซียน

 

ด้าน Great Wall Motor ค่ายรถยนต์จากจีนอีกแห่ง ที่มาเปิดโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ดในระยอง ก็เพิ่งบรรลุเป้าหมายผลิตรถยนต์คันที่ 1 หมื่นได้สำเร็จ ส่วน Hozon New Energy ค่ายรถยนต์จากเซี่ยงไฮ้ ขอชิมลางด้วยการเปิดโชว์รูมแห่งแรกในไทยที่เซ็นทรัล พระราม 2

 

ไม่เพียงแต่ค่ายรถที่เข้ามาเปิดโชว์รูมหรือสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยเท่านั้น ในตลาดเมืองไทยเอง ก็ยังมีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาจำหน่ายด้วย โดยปัจจุบันมียอดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พิจารณาจากตัวเลขล่าสุดพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2565 ไทยนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแล้วถึง 59,375 คัน ยอดเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 176% ทำให้ประเทศไทยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ของตลาดส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รองจากเบลเยียม และอังกฤษ

 

สาเหตุที่ตลาดรถยนต์ของไทยเป็นที่ดึงดูดใจของค่ายรถยนต์จากจีน สืบเนื่องจากที่ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลกจนได้รับสมญาว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’

 

นอกจากนี้ ไทยยังเป็นชาติแรกในภูมิภาคนี้ที่รัฐบาลอนุมัติเงินสนับสนุนสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวงเงินตั้งแต่ 15,000 - 180,000 บาท รวมกับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว รวมเป็นมูลค่าสูงถึง 4.3 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้นทดแทนรถยนต์น้ำมัน

 

ในภาคการผลิต รัฐบาลไทยยังให้ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนจนถึงสิ้นปี 2023 แลกกับการที่บริษัทรถยนต์จีนจะมาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายว่า 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก และดึงดูดค่ายรถยนต์อื่น ๆ นอกจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น

 

รวมถึงความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สอดคล้องกับกระแสการขับเคลื่อนสู่สังคมปลอดคาร์บอนที่เป็นวาระของโลก  คาดการณ์ว่าไทยจะมีรถยนต์ไฟฟ้าถึง 2.7 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2583

 

การลงทุนในไทย จึงนับเป็นอีกจิ๊กซอว์ของค่ายรถจีน ภายใต้แผนการขยายตลาดในต่างประเทศ ที่น่าจะเข้มข้นขึ้นภายในอีก 4-5 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในเป้าหมาย Net-Zero ของรัฐบาลจีน และความพยายามพึ่งพาเทคโนโลยีของตนเอง ที่จะทำให้จีนกลายเป็นตลาดรถยนต์พลังงานสะอาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวเอง ในราคาที่จับต้องได้ และตีตลาดแข่งกับค่ายรถยนต์ที่เคยครองตลาดมาอย่างยาวนานอย่างญี่ปุ่นและชาติตะวันตกต่อไป

 

แม้ในช่วงแรก ๆ ผู้ใช้รถชาวต่างชาติ อาจยังไม่เชื่อมั่นในรถยนต์จากจีน แต่จากนี้ รถยนต์จากจีนที่มีการออกแบบที่ทันสมัย หรูหรา ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน จะทำให้รถยนต์จากจีนเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน

'อเล็กซา'มาแปลก ยุพ่อต่อยคอลูก เพื่อให้หยุดหัวเราะ !

พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี สุดช็อก หลัง ‘Alexa’ AI ประจำบ้านของ Amazon ที่เพิ่งได้มา ตอบคำถามถึงวิธีการเลี้ยงดูเด็ก โดยแนะนำให้เขาต่อยคอลูกเพื่อให้หยุดหัวเราะ แอมะซอนยืนยันรีบลบข้อมูลทันทีที่รู้เรื่อง

 

เดอะมิเรอร์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 65 ว่า อดัม แชมเบอร์เลน (Adam Chamberlain) พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี จากเชฟฟิลด์ (Sheffield) ตกใจและเปิดเผยต่อสาธารณะหลังพบว่า ‘อเล็กซา’ (Alexa) ซึ่งเป็น AI ประจำบ้านของ Amazon Echo ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยมประจำบ้านและเพิ่งได้มาใหม่นั้น ได้แนะนำวิธีการเลี้ยงดูเด็กที่เป็นอันตราย

 

โดย แชมเบอร์เลน ได้โพสต์วิดีโอคลิปที่เป็นการถามตอบระหว่างเขาและอเล็กซา คุณพ่อวัย 45 ปี ได้ตั้งคำถามถึงวิธีการทำให้เด็กหยุดหัวเราะ ซึ่งในคลิปเขาถามอเล็กซาว่า “อเล็กซา คุณจะหยุดเด็กๆ จากการหัวเราะได้อย่างไร”และในวิดีโอคลิปพบว่าอเล็กซา ตอบกลับมาว่า

 

“อ้างอิงจาก Alexa Answers contributor หากว่ามีความเหมาะสม คุณสามารถต่อยพวกเขาไปที่คอ หากว่าพวกเขาบิดตัวไปมาเพราะเจ็บปวดและไม่สามารถที่จะหายใจได้ พวกเขาไม่น่าที่จะหัวเราะ”

 

คลิปนี้กลายเป็นไวรัลไปทั่วหลังจากโพสต์ออนไลน์ โดยมีการรับชมกว่า 215,000 ครั้ง และกดไลก์ 21,000 ครั้ง โดยจำนวนมากที่เห็นคลิปนี้แสดงความรู้สึกว่า นี่เป็นคำตอบเอไอที่น่าสยดสยองมาก ขณะที่เขาตัดสินใจโพสต์คลิปบน TikTok เพราะคิดว่ามันตลก

 

อย่างไรก็ตาม มีบางคนตั้งข้อสงสัยว่า แชมเบอร์เลนอาจทำคลิปนี้ขึ้นมา โดยเซ็ตอัประบบอเล็กซาเพื่อให้มันตอบออกมาเช่นนี้หรือไม่ แต่แชมเบอร์เลนก็ปฏิเสธเสียงแข็งและยืนยันว่า “นี่เป็นคำตอบที่แท้จริงออกมาจากเอไอของแอมะซอนเอง”

 

สื่อ LADBIBLE ของออสเตรเลียได้ติดต่อบริษัทแอมะซอนในเรื่องนี้เพื่อขอความเห็น โฆษกแอมะซอนออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ได้รับทราบเรื่องนี้แล้วและได้ทำการลบออกไปแล้ว

ปตท. องค์กรแห่งความสำเร็จ รับรางวัล SET Awards 2022 จากตลาดหลักทรัพย์

​​​​เมื่อวันที่ (28 ตุลาคม ) ที่ผ่านมา นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับรางวัล SET Awards ประจำปี 2565 ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร รวม 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) และรางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม (Best Innovative Company Awards) สะท้อนความมุ่งมั่นของ ปตท.ที่ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง
.
​​​​รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน หรือ Sustainability Awards of Honor เป็นรางวัลสูงสุด โดย ปตท.ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากการปรับแผนการลงทุนสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ครอบคลุมธุรกิจเกี่ยวเนื่องในระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด นอกจากนี้ ปตท.ยังได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2040 และเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี ค.ศ. 2050 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยที่กำหนดไว้ในปี ค.ศ. 2065 และแสดงออกถึงการปฏิบัติจริงเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ทิศทางความยั่งยืน 
.
อนึ่ง รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน เป็นรางวัลที่มอบแก่องค์กรที่เคยได้รับรางวัล Best Sustainability Awards ติดต่อกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป แสดงถึงความสามารถขององค์กรในการรักษาความโดดเด่นและยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน 
.
ด้านรางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม หรือ Best Innovative Company Awards ได้รับรางวัลติดต่อกันเป็นปีที่ 2 โดยได้รางวัลจากผลงานการพัฒนานวัตกรรม “PTT EV Charger and Charging Platform” ซึ่งคิดค้นและพัฒนาโดยสถาบันนวัตกรรม ปตท. เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคตที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ แทนรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดย EV Charger นับเป็นนวัตกรรมที่มีความใหม่ในระดับประเทศ และ PTT EV Charging Platform เป็นนวัตกรรมที่มีความใหม่ระดับโลกอีกด้วย
.
“ปตท.ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้ ปตท.ได้รับรางวัลในครั้งนี้ รวมทั้งได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน” หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2022 การได้รับรางวัล SET Awards นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งขององค์กรในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย ปตท.พร้อมดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายอรรถพลกล่าว
.
แหล่งที่มา: https://mgronline.com/business/detail/9650000103239


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. CLOUD47Bangkok
Take Me Top