Thursday, 28 March 2024
NEWS

alt.Eatery สุขุมวิท 51 คอมมูนิตี้อาหาร Plant-based อาหารแห่งอนาคต

กระแส Plant-based กำลังกลายเป็นเทรนด์ระดับโลก เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสุขภาพมากยิ่งขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ลดการบริโภคเนื้อสัตว์รวมถึงเทรนด์ในการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมเพราะกระบวนผลิตและบริโภคเนื้อจากพืช (Plant-based) ช่วยลดโลกร้อนได้ และคำนึงถึงสวัสดิภาพสัตว์ที่กลายเป็นอาหารของมนุษย์มาอย่างยาวนาน โดยมีผลสำรวจของ Euromonitor International's Voice of the Industry: Health and Nutrition 2022 ที่ตั้งคำถามว่า "เหตุผลอะไรที่คุณบริโภค Plant-based" 

สำรวจเมื่อ ค.ศ. 2021 เปรียบเทียบกับ ค.ศ. 2022 ล่าสุด ผลปรากฏว่ามีเหตุผลในสามอันดับแรกไม่ต่างกัน ได้แก่ ร้อยละ 37 ทาน Plant-based เพราะรู้สึกแข็งแรงขึ้น ตามด้วย ร้อยละ 25 ทาน Plant-based เพราะต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพในระยะยาว และร้อยละ 24 ทาน Plant-based เพราะรสชาติอร่อย ส่วนประมาณการมูลค่าตลาดของ Plant-based ในประเทศไทย โดยบริษัท Euromonitor and Allies ประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 845 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2562 เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2567 โดยมีการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี ธุรกิจอาหาร Plant-based จึงกลายเป็นธุรกิจที่น่าสนใจซึ่งไม่เพียงตอบโจทย์ในการรักษ์โลกใบนี้เท่านั้นแต่ยังตอบโจทย์เรื่องเทรนด์สุขภาพที่มาแรงอีกด้วย

คุณพรรณนภิศ ฤทธิไพโรจน์ (คุณพลอย) ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจและการตลาด บริษัท นิวทรา รีเจนเนอเรทีฟ โปรตีน จำกัด (NRPT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (บริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100%) กับบริษัท โนฟ ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืชแบบครบวงจร พูดคุยถึงธุรกิจ “Life Science” อาหารเพื่อสุขภาพ Plant-based กับทีมข่าว THE STATES TIMES ว่า “ร้าน alt.Eatery เป็นคอมมูนิตี้อาหาร Plant-based ร้านที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แห่งแรกบนพื้นที่ของแสนสิริ ริมถนนสุขุมวิท 51 ภายในร้านประกอบด้วย 2 โซน ได้แก่ร้านอาหาร และ mini mart ในโซนร้านอาหารมีเมนูตั้งแต่ appetizer, main, ของหวาน และโซน mini mart มีสินค้า Plant-based มากกว่า 500 ชนิด จากผู้ประกอบการมากกว่า 80 ราย ให้เลือกซื้อ”

คุณพลอย อธิบายต่อว่า “การรับประทานอาหาร Plant-based เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เพราะมันคือไลฟ์สไตล์ ได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและยังช่วยรักษ์โลกอีกด้วย เราไม่ได้ให้ความสำคัญด้านอาหาร Plant-based เพียงอย่างเดียว เราให้ความสำคัญแม้กระทั่งตัวอาคารของร้าน alt.Eatery ด้วย เพราะมองว่าทุกจุดคือความยั่งยืน เริ่มจากตัวอาคารที่สร้างด้วยแนวคิด Low Carbon Footprint ด้านหลังร้านมีการตั้งจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถ EV ส่วนบนหลังคาของอาคารมีการใช้ระบบ Solar Roof เพื่อประหยัดพลังงาน หรือแม้กระทั่งตัวอาคารก็สร้างแบบ Complete Knock-Down ไม่มี Construction Wastes เลย ทุกจุดเราสนใจความยั่งยืนมาก”

ส่วนคำถามที่ว่า Plant-based มีความแตกต่างกับอาหารในปัจจุบันอย่างไร คุณพลอยอธิบายว่า “Plant-based คือนวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต นวัตกรรมทำให้สามารถแยกโปรตีนและแป้งออกจากกันได้ สามารถพัฒนาโภชนาการอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นให้เหมาะกับบุคคลแต่ละกลุ่ม ตามอายุ เพศ หรือความต้องการด้านโภชนาการเพื่อป้องกันโรคและโภชนาการทางการแพทย์ (Medical Nutrition) สำหรับผู้ป่วยที่ต้องการดูแลทางโภชนาการ ผู้ป่วยเฉพาะโรค ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทานแต่เนื้อสัตว์และไม่ทานพืชผักเลยก็อาจจะขาดกรดอะมิโนบางชนิดที่อยู่ในพืชผักได้ ซึ่ง Plant-based สามารถใส่กรดอะมิโนลงไปหรือการพัฒนาโภชนาการอาหารให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในอนาคต เราสามารถ Customize ให้เหมาะสม หรือในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการเคี้ยวเราสามารถใช้นวัตกรรมปรับเนื้อให้อ่อนนุ่มเพื่อให้ผู้สูงอายุเคี้ยวได้ง่ายขึ้น”

ส่วนจุดเด่นของร้าน alt.Eatery คืออะไร คุณพลอยกล่าวว่า “คือเรื่องราคา เพราะราคาเป็นหนึ่งใน Pain Point ที่สำคัญมาก สินค้า Plant-based โดยทั่วไปมีราคาสูง เราอยากให้มาลอง เลยทำราคาเริ่มต้นเพียง 39 บาท ส่วนเรื่องของรสชาติ เราได้เชฟชั้นนำ อย่างเชฟใบเตย เชฟชื่อดังจากรายการ Top Chef Thailand ขนมหวาน มาทำขนมหวานและเชฟท่านอื่นๆ มาปรุงเมนูอาหารสูตรเด็ด เพราะเราอยากลองว่าถ้าปรุงโดยฝีมือเชฟ คนทานจะรู้สึกอย่างไร ซึ่งเราได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ปัจจุบันร้าน alt.Eatery ไม่เคยโฆษณาเลยว่าเป็นวีแกน หรือเป็น Plant-based ลูกค้าที่เดินเข้ามาที่ร้านเห็นตู้โดนัทแล้วอยากลองทาน เห็นผัดไทย เบอร์เกอร์แล้วชอบ มาลองดูดีกว่า ส่วนใหญ่ก็จะประหลาดใจว่าเป็น Plant-based เหรอแต่รสชาติอร่อยมาก มีลักษณะแบบนี้เยอะมาก เราดีใจที่คนเริ่มเปิดใจและรับรู้มากขึ้นว่าไม่ใช่อาหารเจ อาหารมังสวิรัติ แต่เป็นอาหาร Plant-based ส่วนเมนูที่ได้รับความนิยมสูงสุดของร้าน alt.Eatery ถ้าเป็นของหวาน ก็คือ โดนัท ส่วนของคาวก็คือ ผัดไทย ไก่ป๊อป และเกี๊ยวซ่า”

ท้ายสุดนี้คุณพลอยเชิญชวน ให้มาลองทานอาหารหรือช้อปสินค้าจากผู้ประกอบการ Plant-based ที่ร้าน alt.Eatery ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท 51 “เรื่องเมนูอาหารในอนาคตจะมีเมนูใหม่ๆ เพิ่มขึ้นแน่นอน เช่น Plant-based เนื้อปู สำหรับร้านเราเปิดบริการทุกวัน 8 โมงเช้า-3 ทุ่ม มีที่จอดรถด้านหลังร้าน มีหลายคนถามว่าที่ตั้งใจกลางเมืองขนาดนี้เอาที่ไปทำที่จอดรถทำไม เพราะเราอยากบริการทุกคนให้สะดวกสบาย เดินทางได้ทุกรูปแบบทั้งรถสาธารณะ และรถส่วนตัว เพื่อให้มาที่ร้าน alt.Eatery ได้ง่ายขึ้น”


ส่วนการเดินทางโดยรถไฟฟ้าบีทีเอสมายัง ร้าน alt.Eatery ให้ลงที่สถานีทองหล่อ ใช้ทางออกหนึ่ง แล้วเดินมาที่ร้านได้อย่างสะดวกสบายจาก Skywalk จะมองเห็นรั้วสีเหลืองของร้าน หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊ก เพจ alt.Eatery

เพจ:https://web.facebook.com/alt.Eatery/?_rdc=1&_rdr

Virgin Australia ไอเดียเก๋ ‘นั่งตรงกลาง’ มีสิทธิลุ้นรางวัล 5 ล้าน

ผู้โดยสารเครื่องบินต่างรู้กันดีว่า “ที่นั่งตรงกลาง” เป็นอะไรที่เลี่ยงได้ควรเลี่ยง เพราะนอกจากจะไม่มีวิวหน้าต่างให้ดู ยังลุกนั่งลำบาก ไปห้องน้ำก็ไม่สะดวก

เมื่อไม่นานนี้ สายการบินเวอร์จินออสเตรเลีย (Virgin Australia) ได้จัดทำผลสำรวจออนไลน์ซึ่งพบว่า มีผู้โดยสารแค่ 0.6% จากทั้งหมด 7,500 คนที่โหวตเลือก (หรืออาจจะมือลั่น) ที่นั่งตรงกลางว่าเป็นที่นั่งโปรดของพวกเขา

ทว่าตัวเลขนี้อาจไม่จริงอีกต่อไป เพราะล่าสุดเวอร์จินออสเตรเลียได้จัดแคมเปญ “ลอตเตอรี่” ส่งเสริมการขายที่นั่งตรงกลาง โดยผู้โดยสารที่สมัครใจจอง หรือถูกจัดที่นั่งตรงกลางบนเที่ยวบินของบริษัท จะมีสิทธิลุ้นรางวัลรวมมูลค่าสูงสุดถึง 230,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 5.6 ล้านบาท

“เวอร์จินออสเตรเลียเป็นสายการบินที่เน้นความแตกต่าง และเรามีความยินดีที่ได้จัดกิจกรรมใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น เพื่อให้ทุกแง่มุมของประสบการณ์การเดินทางกับเราเป็นเรื่องน่าประทับใจ” เจย์น ฮรลิคกา (Jayne Hrdlicka) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เวอร์จินออสเตรเลียกรุ๊ป ระบุในจดหมายข่าว

“ผู้โดยสารจะมีสิทธิลุ้นรับรางวัลรวมมูลค่าสูงสุด 230,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย เพียงแค่ท่านนั่งในที่นั่งตรงกลาง”

ผู้โดยสารอายุ 18 ปีขึ้นไปซึ่งเป็นสมาชิก Velocity Frequent Flyer และนั่งที่นั่งตรงกลาง จะมีสิทธิร่วมลุ้นลอตเตอรี่ผ่านแอปของเวอร์จินออสเตรเลีย โดยสามารถร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 23 เม.ย. ปี 2023

สายการบินจะมีการสุ่มรายชื่อผู้โชคดีทุกสัปดาห์ เพื่อรับรางวัลบัตรโดยสารเครื่องบินฟรี ทริปเที่ยวผับด้วยเฮลิคอปเตอร์ (helicopter pub crawl) และรางวัลที่พัก 2 คืนที่เมืองแคนส์ (Cairns) พร้อมตั๋วเครื่องบินและทริปกระโดดบันจี้จัมป์ เป็นต้น

หลังจากเวอร์จินออสเตรเลียประกาศแคมเปญนี้ทางโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 24 ต.ค. ปรากฏว่ามีชาวเน็ตจำนวนมากเข้าไปแสดงความเห็นชื่นชมว่าเป็นกิจกรรมที่ “ยอดเยี่ยม” แต่มีบางคนที่นั่งยัน+นอนยันว่า ถึงยังไงก็ไม่มีวันเลือกที่นั่งตรงกลางอย่างแน่นอน

รถ EV จีนมาแรงแซงรถน้ำมัน คนแห่จอง-ยอดขายพุ่ง หรูหราเทียบชั้นรถญี่ปุ่น-ตะวันตก

ค่ายรถยนต์จีนกำลังบุกตลาดโลกต่อเนื่อง หวังต่อกรกับแบรนด์ดังจากค่ายรถยนต์ยุโรป รวมถึงกระโดดเข้ามากวาดตลาดที่กำลังเติบโตอย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบไม่หยุด

 

ในประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในหมุดหมายของค่ายรถยนต์จีนที่พร้อมเข้ามาแย่งส่วนแบ่งออกจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่ครองตำแหน่งเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดถึง 80% มาช้านาน

 

โดยเมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดจีนค่ายดังอย่าง BYD  ประกาศที่จะสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าสาขาต่างประเทศแห่งแรกของบริษัทที่ไทย โดยเลือกที่ทำเลที่จังหวัดระยอง ในการสร้างโรงงาน เพื่อผลิตรถยนต์ป้อนตลาดในอาเซียน

 

ด้าน Great Wall Motor ค่ายรถยนต์จากจีนอีกแห่ง ที่มาเปิดโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ดในระยอง ก็เพิ่งบรรลุเป้าหมายผลิตรถยนต์คันที่ 1 หมื่นได้สำเร็จ ส่วน Hozon New Energy ค่ายรถยนต์จากเซี่ยงไฮ้ ขอชิมลางด้วยการเปิดโชว์รูมแห่งแรกในไทยที่เซ็นทรัล พระราม 2

 

ไม่เพียงแต่ค่ายรถที่เข้ามาเปิดโชว์รูมหรือสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยเท่านั้น ในตลาดเมืองไทยเอง ก็ยังมีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาจำหน่ายด้วย โดยปัจจุบันมียอดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พิจารณาจากตัวเลขล่าสุดพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2565 ไทยนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแล้วถึง 59,375 คัน ยอดเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 176% ทำให้ประเทศไทยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ของตลาดส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รองจากเบลเยียม และอังกฤษ

 

สาเหตุที่ตลาดรถยนต์ของไทยเป็นที่ดึงดูดใจของค่ายรถยนต์จากจีน สืบเนื่องจากที่ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลกจนได้รับสมญาว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’

 

นอกจากนี้ ไทยยังเป็นชาติแรกในภูมิภาคนี้ที่รัฐบาลอนุมัติเงินสนับสนุนสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวงเงินตั้งแต่ 15,000 - 180,000 บาท รวมกับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว รวมเป็นมูลค่าสูงถึง 4.3 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้นทดแทนรถยนต์น้ำมัน

 

ในภาคการผลิต รัฐบาลไทยยังให้ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนจนถึงสิ้นปี 2023 แลกกับการที่บริษัทรถยนต์จีนจะมาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายว่า 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก และดึงดูดค่ายรถยนต์อื่น ๆ นอกจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น

 

รวมถึงความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สอดคล้องกับกระแสการขับเคลื่อนสู่สังคมปลอดคาร์บอนที่เป็นวาระของโลก  คาดการณ์ว่าไทยจะมีรถยนต์ไฟฟ้าถึง 2.7 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2583

 

การลงทุนในไทย จึงนับเป็นอีกจิ๊กซอว์ของค่ายรถจีน ภายใต้แผนการขยายตลาดในต่างประเทศ ที่น่าจะเข้มข้นขึ้นภายในอีก 4-5 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในเป้าหมาย Net-Zero ของรัฐบาลจีน และความพยายามพึ่งพาเทคโนโลยีของตนเอง ที่จะทำให้จีนกลายเป็นตลาดรถยนต์พลังงานสะอาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวเอง ในราคาที่จับต้องได้ และตีตลาดแข่งกับค่ายรถยนต์ที่เคยครองตลาดมาอย่างยาวนานอย่างญี่ปุ่นและชาติตะวันตกต่อไป

 

แม้ในช่วงแรก ๆ ผู้ใช้รถชาวต่างชาติ อาจยังไม่เชื่อมั่นในรถยนต์จากจีน แต่จากนี้ รถยนต์จากจีนที่มีการออกแบบที่ทันสมัย หรูหรา ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน จะทำให้รถยนต์จากจีนเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน

'อเล็กซา'มาแปลก ยุพ่อต่อยคอลูก เพื่อให้หยุดหัวเราะ !

พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี สุดช็อก หลัง ‘Alexa’ AI ประจำบ้านของ Amazon ที่เพิ่งได้มา ตอบคำถามถึงวิธีการเลี้ยงดูเด็ก โดยแนะนำให้เขาต่อยคอลูกเพื่อให้หยุดหัวเราะ แอมะซอนยืนยันรีบลบข้อมูลทันทีที่รู้เรื่อง

 

เดอะมิเรอร์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 65 ว่า อดัม แชมเบอร์เลน (Adam Chamberlain) พ่อชาวอังกฤษวัย 45 ปี จากเชฟฟิลด์ (Sheffield) ตกใจและเปิดเผยต่อสาธารณะหลังพบว่า ‘อเล็กซา’ (Alexa) ซึ่งเป็น AI ประจำบ้านของ Amazon Echo ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยมประจำบ้านและเพิ่งได้มาใหม่นั้น ได้แนะนำวิธีการเลี้ยงดูเด็กที่เป็นอันตราย

 

โดย แชมเบอร์เลน ได้โพสต์วิดีโอคลิปที่เป็นการถามตอบระหว่างเขาและอเล็กซา คุณพ่อวัย 45 ปี ได้ตั้งคำถามถึงวิธีการทำให้เด็กหยุดหัวเราะ ซึ่งในคลิปเขาถามอเล็กซาว่า “อเล็กซา คุณจะหยุดเด็กๆ จากการหัวเราะได้อย่างไร”และในวิดีโอคลิปพบว่าอเล็กซา ตอบกลับมาว่า

 

“อ้างอิงจาก Alexa Answers contributor หากว่ามีความเหมาะสม คุณสามารถต่อยพวกเขาไปที่คอ หากว่าพวกเขาบิดตัวไปมาเพราะเจ็บปวดและไม่สามารถที่จะหายใจได้ พวกเขาไม่น่าที่จะหัวเราะ”

 

คลิปนี้กลายเป็นไวรัลไปทั่วหลังจากโพสต์ออนไลน์ โดยมีการรับชมกว่า 215,000 ครั้ง และกดไลก์ 21,000 ครั้ง โดยจำนวนมากที่เห็นคลิปนี้แสดงความรู้สึกว่า นี่เป็นคำตอบเอไอที่น่าสยดสยองมาก ขณะที่เขาตัดสินใจโพสต์คลิปบน TikTok เพราะคิดว่ามันตลก

 

อย่างไรก็ตาม มีบางคนตั้งข้อสงสัยว่า แชมเบอร์เลนอาจทำคลิปนี้ขึ้นมา โดยเซ็ตอัประบบอเล็กซาเพื่อให้มันตอบออกมาเช่นนี้หรือไม่ แต่แชมเบอร์เลนก็ปฏิเสธเสียงแข็งและยืนยันว่า “นี่เป็นคำตอบที่แท้จริงออกมาจากเอไอของแอมะซอนเอง”

 

สื่อ LADBIBLE ของออสเตรเลียได้ติดต่อบริษัทแอมะซอนในเรื่องนี้เพื่อขอความเห็น โฆษกแอมะซอนออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ได้รับทราบเรื่องนี้แล้วและได้ทำการลบออกไปแล้ว

ปตท. องค์กรแห่งความสำเร็จ รับรางวัล SET Awards 2022 จากตลาดหลักทรัพย์

​​​​เมื่อวันที่ (28 ตุลาคม ) ที่ผ่านมา นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า ปตท. ได้รับรางวัล SET Awards ประจำปี 2565 ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร รวม 2 รางวัล ประกอบด้วย รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน (Sustainability Awards of Honor) และรางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม (Best Innovative Company Awards) สะท้อนความมุ่งมั่นของ ปตท.ที่ขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง
.
​​​​รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน หรือ Sustainability Awards of Honor เป็นรางวัลสูงสุด โดย ปตท.ได้รับต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากการปรับแผนการลงทุนสู่ธุรกิจพลังงานแห่งอนาคตและธุรกิจใหม่ที่ไกลกว่าพลังงาน ครอบคลุมธุรกิจเกี่ยวเนื่องในระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด นอกจากนี้ ปตท.ยังได้ประกาศเจตนารมณ์มุ่งสู่เป้าหมาย Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2040 และเป้าหมาย Net Zero Emissions ในปี ค.ศ. 2050 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศไทยที่กำหนดไว้ในปี ค.ศ. 2065 และแสดงออกถึงการปฏิบัติจริงเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ทิศทางความยั่งยืน 
.
อนึ่ง รางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จด้านความยั่งยืน เป็นรางวัลที่มอบแก่องค์กรที่เคยได้รับรางวัล Best Sustainability Awards ติดต่อกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป แสดงถึงความสามารถขององค์กรในการรักษาความโดดเด่นและยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน 
.
ด้านรางวัลบริษัทยอดเยี่ยมด้านนวัตกรรม หรือ Best Innovative Company Awards ได้รับรางวัลติดต่อกันเป็นปีที่ 2 โดยได้รางวัลจากผลงานการพัฒนานวัตกรรม “PTT EV Charger and Charging Platform” ซึ่งคิดค้นและพัฒนาโดยสถาบันนวัตกรรม ปตท. เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคตที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ แทนรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดย EV Charger นับเป็นนวัตกรรมที่มีความใหม่ในระดับประเทศ และ PTT EV Charging Platform เป็นนวัตกรรมที่มีความใหม่ระดับโลกอีกด้วย
.
“ปตท.ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้ ปตท.ได้รับรางวัลในครั้งนี้ รวมทั้งได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อ “หุ้นยั่งยืน” หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2022 การได้รับรางวัล SET Awards นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งขององค์กรในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย ปตท.พร้อมดำเนินธุรกิจภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายอรรถพลกล่าว
.
แหล่งที่มา: https://mgronline.com/business/detail/9650000103239

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตน้ำมัน แล้วไม่พอต่อการใช้งานของคนในประเทศ

     ราคาน้ำมันที่มีการผันผวนตลอดเวลา ไม่ว่าจะเนื่องด้วย เหตุผลใดก็ตาม ย่อมส่งผลต่อความไม่พอใจของประชาชนมาตลอด และเมื่อไม่พึงพอใจ ก็จะเกิดการเปรียบเทียบ 

     ในวิกฤติราคาน้ำมันทุกๆครั้ง ดังที่จะเห็นจนคุ้นตา คือการที่มักมีบางกลุ่ม เปรียบเทียบราคาพลังงานไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะมาเลเซีย

 

     เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีกรณีผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ที่ลงทุนเดินทางไปถึงมาเลเซียเพื่อเติมน้ำมันที่นั่น ก่อนจะเปรียบเทียบราคาน้ำมันของไทยกับมาเลเซียลงสื่อโซเชียล ส่งผลให้รัฐบาลมาเลเซียสั่งการให้มีการตรวจสอบผู้มาขอรับบริการว่าเป็นพลเมืองมาเลเซียหรือไม่ เนื่องจากราคาน้ำมันของมาเลเซีย ได้รับการชดเชยราคาโดยตรงด้วยภาษีของคนมาเลเซีย

 

     แต่หากมองย้อนกลับไปที่ประเทศลาว จะเห็นว่าประเทศลาวนั้น มีราคาน้ำมันที่สูงกว่าไทยตลอด เนื่องจากว่าลาวนั้น ไม่มีแหล่งเชื้อเพลิงของตนเอง ราคาน้ำมันในลาว จึงเป็นราคาที่เพิ่มค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากประเทศไทยเข้าไปร่วมด้วย เป็นสาเหตุให้มีราคาที่สูงกว่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง

 

นั่นทำให้คนลาวบางส่วน เข้ามาเติมน้ำมันในประเทศไทย และประเทศไทยก็สั่งห้ามเช่นเดียวกับมาเลเซีย

 

---

 

     หันกลับมาพิจารณาถึงที่มาของราคาน้ำมัน ประเทศที่มีความสามารถในการขุดเจาะน้ำมันได้เอง และกลั่นน้ำมันได้เอง จะมีราคาน้ำมันสำหรับการใช้ในประเทศที่มีราคาถูกลงมากกว่าประเทศที่ต้องนำเข้าพลังงานทั้งหมด

 

     แต่จะถูกมากน้อยเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับว่า ประเทศนั้น ๆ มีปริมาณน้ำมันสำรอง และกำลังการผลิตมากเพียงพอที่จะตอบสนองของคนทั้งประเทศหรือไม่

 

      จากข้อมูลของ Worldometer ระบุว่า ใน พ.ศ. 2559 มาเลเซียมีปริมาณน้ำมันสำรอง 3,600,000,000 บาร์เรล มากเป็นอันดับที่ 28 ของโลก ในขณะที่ประเทศไทยมีเพียง 404,890,000 บาร์เรล อยู่อันดับที่ 50 อีกทั้งมีปริมาณน้อยกว่ามาเลเซียถึง 8.9 เท่า

 

     นอกจากนี้ กำลังการผลิตของมาเลเซียนั้น เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ สำหรับประชากรเพียงแค่ 32 ล้านคน มีน้ำมันเหลือใช้มากถึงวันละ 54,168 บาร์เรลต่อวัน ในขณะที่ไทย ทั้ง ๆ ที่ผลิตได้น้อยกว่า แต่กลับมีอัตราการบริโภคที่สูงกว่า จนทำให้กำลังการผลิตต่อวัน น้อยกว่าอัตราการบริโภคมากถึง 770,671 บาร์เรลต่อวันเลยทีเดียว

 

---

     แต่ถึงแม้มาเลเซียจะมีกำลังการผลิตน้ำมันที่ล้นเหลือ แต่มาเลเซียก็ยังมีการนำเข้าน้ำมันมากถึง 197,489 บาร์เรลต่อวัน และส่งออกน้ำมัน 390,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ราคาน้ำมันในมาเลเซียเองก็ผันผวนตามราคาน้ำมันของโลกด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ส่งผลกระทบมากเท่ากับประเทศไทยนั่นเอง

 

     จากรายงานของ Worldometer ระบุว่า มาเลเซียมีน้ำมันสำรอง 0.2% เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำมันสำรองของโลก (1,650,585,140,000 บาร์เรล อ้างอิงข้อมูล พ.ศ. 2559) ในขณะที่ประเทศไทย มีปริมาณน้ำมันสำรองเพียง 0.02345% เพียงเท่านั้น

 

      การที่จะนำประเทศไทยไปเปรียบเทียบกับมาเลเซีย ในเรื่องราคาน้ำมัน และความพยายามที่จะผลักดันให้ประเทศไทย ดำเนินนโยบายราคาน้ำมันแบบมาเลเซียนั้น จึงไม่ต่างอะไรกับการขี่ช้างจับตั๊กแตนเลย

 

---

 

     การดำเนินนโยบายการบริหารราคาและกำลังการผลิตน้ำมันของประเทศอย่างเหมาะสม เป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าการกดราคาน้ำมันเพียงอย่างเดียว

 

     ตัวอย่างที่ชัดเจนคือประเทศเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลกถึง 299,953,000,000 บาร์เรล ซึ่งมากกว่ามาเลเซียถึง 83 เท่า แต่เนื่องด้วยรัฐบาลเวเนซุเอลาเลือกที่จะผูกขาดการผลิตน้ำมันของประเทศเอาไว้กับรัฐวิสาหกิจเพียงรายเดียว เพื่อส่งเสริมนโยบายประชานิยมของรัฐบาล ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของเวเนซุเอลาอ่อนแอ จนเป็นเหตุให้เศรษฐกิจของประเทศพังทลายลง ในเวลาต่อมา

 

     ในขณะที่ประเทศไทย กลุ่มบริษัทพลังงานไทย อาทิเช่น ปตท. และบางจาก มีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาพลังงานของประเทศ มีการลงทุนในธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เช่นโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายส่งเสริมพัฒนาพลังงานของกระทรวงพลังงาน ทำให้โครงสร้างพลังงานของประเทศไทยนั้น มีความมั่นคงแข็งแรง

 

     โดยสรุปแล้ว ประเทศไทยของเรา ไม่ได้มีแหล่งน้ำมันที่มากเพียงพอต่อความต้องการของประเทศเลย การนำเข้าน้ำมัน จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การที่ประเทศไทยของเรา มีกลุ่มธุรกิจพลังงานสัญชาติไทย ทำให้เรามีศักยภาพในการพัฒนาประสิทธิภาพของพลังงานได้ด้วยตัวเอง มีองค์ความรู้เป็นของตัวเอง

 

     พวกเราทุกคนจึงควรจะเข้าใจในสภาพความเป็นจริงด้านพลังงานของประเทศ เพื่อการวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลและกลุ่มบริษัทพลังงานอย่างมีเหตุผล เพื่อการพัฒนาประเทศอย่างถูกต้อง ตามระบอบประชาธิปไตย

 

ผู้เขียน ศิราวุธ ภุมมะกสิกร

 


อ้างอิง

[1] Worldometer, “Thailand Oil (2016)” https://www.worldometers.info/oil/thailand-oil/

[2] Worldometer, “Malaysia Oil (2016)” https://www.worldometers.info/oil/malaysia-oil/

[3] Worldometer, “Oil Reserves by Country (2016)” https://www.worldometers.info/oil/oil-reserves-by-country/

[4] The Infographics Show, 2021, “What Actually Went Wrong With Venezuela” https://www.youtube.com/watch?v=Olw5Gaugpl8&t=283s

INFLUENCER TRIP by PTT

INFLUENCER TRIP BY PTT ก้าวผ่าน….สู่อนาคต


   ปตท.กับการขับเคลื่อนประเทศ ก้าวสู่อนาคตด้วยพลังงานทางเลือกใหม่ แก้ปัญหามลภาวะ และให้ความสำคัญกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions)  

   โดยจัดตั้งกิจกรรม วันที่ 26 ตุลาคม 2565 ณ ปตท. สำนักงานใหญ่ ได้เรียนเชิญเหล่าบรรดา INFLUENCER มากมายพร้อมทั้งสื่อมวลชน มาพบปะภายในงาน พูดคุยจัดการพากันก้าวผ่านสู่อนาคต

ยิ่งกว่าเคียงข้าง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ - นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมผู้บริหารและพนักงานกลุ่ม ปตท. ในนาม “ชมรมพลังไทยใจอาสา กลุ่ม ปตท.” ร่วมบรรจุถุงยังชีพจำนวน 1,500 ถุง เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลพายุโนรู ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง ได้แก่ เทศบาลตำบลวารินชำราบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 1,000 ถุง

พร้อมส่งทีมปฏิบัติการชมรม PTT Group SEALs เจ้าหน้าที่พร้อมเรือท้องแบนและอุปกรณ์กู้ภัยเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ นอกจากนั้นจะนำส่งที่ ตำบลท่ามะนาว อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี จำนวน 500 ถุง โดยในปี 2565 นี้ ปตท. มีแผนการดำเนินการแจกจ่ายถุงยังชีพเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจำนวนกว่า 10,000 ถุง โดยถุงยังชีพประกอบด้วย อาหารพร้อมรับประทาน เครื่องอุปโภค บริโภค ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพและสามารถใช้ได้ทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเบื้องต้น

ปตท.ใจป้ำมอบบัตรเติมน้ำมัน!

ไม่ว่าประชาชนจะเดือดร้อนเรื่องใดเราก็จะเห็นหนึ่งองค์กรที่คอยเคียงคู่ประชาชน อยู่ตลอดมา

ขอบคุณกลุ่ม ปตท. มอบบัตรเติมน้ำมัน สนับสนุน กทม. เพื่อบรรเทาเหตุน้ำท่วม

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (กลางซ้าย) มอบบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 200,000 บาท ในนามกลุ่ม ปตท. แก่ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อสนับสนุนการทำงานของกรุงเทพมหานครในการช่วยเหลือเหตุอุทกภัย และบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ณ อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดีรังสิต กทม.

ปตท.คว้ารางวัล

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม ประจำปี พ.ศ. 2565 แก่ นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในโอกาสที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง ผ่านการตรวจประเมินและได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นจากกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงคุณค่าและเป็นกำลังใจแก่ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2565 ที่ ทำเนียบรัฐบาล

.

.

.

โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง ได้ดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุดมาอย่างต่อเนื่องทั้งภาคพลังงานและภาคสังคม ด้วยการสร้างนวัตกรรมและนำเทคโนโลยีมาใช้ในทุกภาคส่วนโดยล่าสุดได้ใช้องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมนำความเย็นที่เกิดจากกระบวนเปลี่ยนสถานะของก๊าซฯ จากกระบวนการผลิตมาปรับใช้เพาะปลูกพืชเมืองหนาว คือ สตรอว์เบอรี่พันธ์ Akihime ที่โรงเรือนอัจฉริยะ ณ สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพฯ จ.ระยอง ให้ผลผลิตตลอดทั้งปี อันเป็นการต่อยอดองค์ความรู้ทั้งด้านเกษตรวิศวกรรม เทคโนโลยีการปลูกสู่เกษตรกรในพื้นที่จ.ระยอง อนึ่ง ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ของ ปตท. “ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังแห่งอนาคต” หรือ “Powering Life with Future Energy and Beyond” ปตท. พร้อมเป็นฟันเฟืองสนับสนุนนโยบายรัฐบาลขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ สร้างคุณค่าต่อสังคมไทยและประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

มุ่งหน้าสู่เป้าหมาย

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากขวา) ในฐานะประธานเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย (Thailand Carbon Neutral Network หรือ TCNN) เป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารกรรมการเครือข่ายฯ (Council Board) ประจำปี 2565 โดยมี นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (กลาง) 

นายเทอดเกียรติ พร้อมมูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่กลยุทธ์องค์กรและความยั่งยืน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ขวา) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกรรมการเครือข่ายฯ และผู้บริหารกลุ่ม ปตท. เข้าร่วมการประชุม เพื่อสรุปผลความสำเร็จของการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยคณะกรรมการฯ ได้หารือถึงแผนการดำเนินงานให้สอดรับกับวิสัยทัศน์ของ TCNN ในการเป็น “เครือข่ายแกนนำของประเทศไทยสู่การบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ 
Net Zero”
 

ปตท. ลงนาม MOU!

นายณรงค์ไชย  ปัญญไพโรจน์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction  Program : T-VER) กับ  ดร.พฤกษ์  อักกะรังสี  ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพลังงานนครพิงค์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ  คุณอานนท์
ฤทธิ์ธาร ผู้อำนวยการสายงานปฏิบัติการ ผู้แทนจากบริษัท ซีพีพี จำกัด 

สำหรับการลงนามความร่วมมือดังกล่าว เป็นการต่อยอดจากการพัฒนาก๊าซไบโอมีเทนอัดจากน้ำเสียและของเสียโรงงานอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของบริษัท  ซีพีพี โดยการกักเก็บก๊าซมีเทนจากการบำบัดน้ำเสียแบบไร้อากาศ มาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนก๊าซ NGV ในสถานีบริการ NGV  ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินการตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบันได้ต่อยอดความร่วมมือ เพื่อขอการรับรองคาร์บอนเครดิต ในโครงการ T-VER  ทั้งนี้เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำของประเทศอย่างแข็งแรงและยั่งยืนตลอดไป

 


© Copyright 2022, All rights reserved. CLOUD47Bangkok
Take Me Top