รถ EV จีนมาแรงแซงรถน้ำมัน คนแห่จอง-ยอดขายพุ่ง หรูหราเทียบชั้นรถญี่ปุ่น-ตะวันตก
ค่ายรถยนต์จีนกำลังบุกตลาดโลกต่อเนื่อง หวังต่อกรกับแบรนด์ดังจากค่ายรถยนต์ยุโรป รวมถึงกระโดดเข้ามากวาดตลาดที่กำลังเติบโตอย่างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบบไม่หยุด
ในประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในหมุดหมายของค่ายรถยนต์จีนที่พร้อมเข้ามาแย่งส่วนแบ่งออกจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ที่ครองตำแหน่งเบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดถึง 80% มาช้านาน
โดยเมื่อเดือนกันยายน 2565 ที่ผ่านมา บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดจีนค่ายดังอย่าง BYD ประกาศที่จะสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าสาขาต่างประเทศแห่งแรกของบริษัทที่ไทย โดยเลือกที่ทำเลที่จังหวัดระยอง ในการสร้างโรงงาน เพื่อผลิตรถยนต์ป้อนตลาดในอาเซียน
ด้าน Great Wall Motor ค่ายรถยนต์จากจีนอีกแห่ง ที่มาเปิดโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ดในระยอง ก็เพิ่งบรรลุเป้าหมายผลิตรถยนต์คันที่ 1 หมื่นได้สำเร็จ ส่วน Hozon New Energy ค่ายรถยนต์จากเซี่ยงไฮ้ ขอชิมลางด้วยการเปิดโชว์รูมแห่งแรกในไทยที่เซ็นทรัล พระราม 2
ไม่เพียงแต่ค่ายรถที่เข้ามาเปิดโชว์รูมหรือสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในไทยเท่านั้น ในตลาดเมืองไทยเอง ก็ยังมีการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเข้ามาจำหน่ายด้วย โดยปัจจุบันมียอดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง พิจารณาจากตัวเลขล่าสุดพบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2565 ไทยนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแล้วถึง 59,375 คัน ยอดเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 176% ทำให้ประเทศไทยขึ้นมาอยู่ในอันดับ 3 ของตลาดส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน รองจากเบลเยียม และอังกฤษ
สาเหตุที่ตลาดรถยนต์ของไทยเป็นที่ดึงดูดใจของค่ายรถยนต์จากจีน สืบเนื่องจากที่ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลกจนได้รับสมญาว่าเป็น ‘ดีทรอยต์แห่งเอเชีย’
นอกจากนี้ ไทยยังเป็นชาติแรกในภูมิภาคนี้ที่รัฐบาลอนุมัติเงินสนับสนุนสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวงเงินตั้งแต่ 15,000 - 180,000 บาท รวมกับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีแล้ว รวมเป็นมูลค่าสูงถึง 4.3 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมากขึ้นทดแทนรถยนต์น้ำมัน
ในภาคการผลิต รัฐบาลไทยยังให้ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีนจนถึงสิ้นปี 2023 แลกกับการที่บริษัทรถยนต์จีนจะมาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายว่า 30% ของรถยนต์ที่ผลิตในประเทศจะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้ไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลก และดึงดูดค่ายรถยนต์อื่น ๆ นอกจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
รวมถึงความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สอดคล้องกับกระแสการขับเคลื่อนสู่สังคมปลอดคาร์บอนที่เป็นวาระของโลก คาดการณ์ว่าไทยจะมีรถยนต์ไฟฟ้าถึง 2.7 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2583
การลงทุนในไทย จึงนับเป็นอีกจิ๊กซอว์ของค่ายรถจีน ภายใต้แผนการขยายตลาดในต่างประเทศ ที่น่าจะเข้มข้นขึ้นภายในอีก 4-5 ปีข้างหน้า สอดคล้องกับความมุ่งมั่นในเป้าหมาย Net-Zero ของรัฐบาลจีน และความพยายามพึ่งพาเทคโนโลยีของตนเอง ที่จะทำให้จีนกลายเป็นตลาดรถยนต์พลังงานสะอาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวเอง ในราคาที่จับต้องได้ และตีตลาดแข่งกับค่ายรถยนต์ที่เคยครองตลาดมาอย่างยาวนานอย่างญี่ปุ่นและชาติตะวันตกต่อไป
แม้ในช่วงแรก ๆ ผู้ใช้รถชาวต่างชาติ อาจยังไม่เชื่อมั่นในรถยนต์จากจีน แต่จากนี้ รถยนต์จากจีนที่มีการออกแบบที่ทันสมัย หรูหรา ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน จะทำให้รถยนต์จากจีนเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน
